เมื่อวันที่ 7 ก.พ. พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ให้สัมภาษณ์ถึงการบริหารจัดการยา ว่า การบริหารจัดการยาโดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกลยังมีปัญหาอุปสรรค องค์การเภสัชฯ จึงมีแนวคิดในหารช่สยยริหารจัดการคลังยา ร่วมดีลกับบริษัทยาต่างๆ แทน รพ. ซึ่งเมื่อ ต.ค. 2566 ได้ดำเนินการใน รพ.ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ คาดว่าจะดำเนินการเต็มรูปแบบในเดือน มี.ค. นี้ จากโมเดลนี้จึงมีแนวคิดนำมาใช้กับ รพ.ชุมชน ซึ่งคิดว่าน่าจะทำได้ง่ายกว่า เพราะมีการใช้ยาราวๆ 5-10 ล้านบาทต่อปี แต่กลับต้องดีลกับบริษัทยา 40-50 แห่ง รวมถึงองค์การเภสัชฯ ดังนั้นหากองค์การเภสัชฯ เข้ามาบริหารจัดการแทน และช่วยดีลกับบริษัทอื่นๆ แทน เช่น รพ.สบเมย มีขนาด 30 เตียง ใช้ยาประมาณ 300 รายการ ในจำนวนนี้มีประมาณ 80-100 รายการ ที่เป็นขององค์การเภสัชฯ อยู่แล้ว ดังนั้นหากรวมให้องค์การเภสัชเป็นผู้บริหารจัดการให้ ก็จะทำให้เกิดการซื้อยาล็อตใหญ่เพิ่มอำนาจในการต่อรองทำให้ราคายาลดลงด้วย
เมื่อถามว่าที่ผ่านมา รพ. หลายแห่งมีการค้างค่ายา ถ้า องค์การเภสัชฯ มาช่วยบริหารจะเป็นความเสี่ยงเรื่องต้นทุนของ องค์การเภสัชฯ ด้วยหรือไม่ พญ.มิ่งขวัญ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ แม้เราจะไม่ได้ทำ Action Research ก็จะมีการให้เครดิตเทอมอยู่แล้ว แต่ถ้ายังมีความจำเป็นเราก็ให้เครดิตเทอมยาว ซึ่งเรามีระบบในการบริหารจัดการให้รู้ว่า รพ. ไหนที่ยังไม่สามารถจ่ายค่ายาได้ ตั้งแต่ปีไหน และด้วยสาเหตุอะไร เมื่อคุยเข้าใจปัญหาก็ตัดปิดเคส ซึ่งการที่เรามาช่วยบริหารคลัง ก็เหมือนช่วยให้ รพ. หนึ่ง ไม่ต้องบริหารจัดการเยอะ และลดเรื่องการเซฟสต๊อก การลดเงินที่ไปลงทุน ตรงนั้นค่อนข้างเยอะ อีกอันคือก็ให้เครดิตเทอมยาว ซึ่งก็พูดคุยกันได้.