สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ว่า ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งชาวอินโดนีเซียราว 205 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศเกือบ 280 ล้านคน ทยอยอออกไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ แทนประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ผู้นำคนปัจจุบัน ซึ่งจะหมดวาระในเดือน ต.ค. นี้ หลังดำรงตำแหน่งครบสองสมัย หรือ 10 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาสูงสุดแล้วตามรัฐธรรมนูญ


นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่สิ้นสุดยุครัฐบาลเผด็จการของประธานาธิบดีซูฮาร์โต เมื่อปี 2541 ที่การเลือกตั้งผู้นำอินโดนีเซียมีผู้สมัคร 3 คน ได้แก่ พล.ท.ปราโบโว ซูเบียนโต รมว.กลาโหมคนปัจจุบัน จากพรรคขบวนการอินโดนีเซียก้าวหน้า หรือพรรคเกอรินทรา นายกันจาร์ ปราโนโว อดีตผู้ว่าการจังหวัดชวากลาง จากพรรคประชาธิปไตยอินโดนีเซีย-การต่อสู้ (พีดีไอ-พี) และนายอานิส บาสเวดาน อดีตผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา ลงสมัครในนามอิสระ

ชาวอินโดนีเซียใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ที่คูหาแห่งหนึ่ง ในเมืองทิมิกา ทางตอนกลางของจังหวัดปาปัว


ทั้งนี้ พล.ท.ซูเบียนโต วัย 72 ปี มีโอกาสสูงที่จะได้รับชัยชนะ เนื่องจากผู้ที่ลงสมัครคู่กันในตำแหน่งรองประธานาธิบดี คือนายกีบราน ราคาบูมิง รากา นายกเทศมนตรีเมืองสุรากาตาร์ บุตรชายวัย 36 ปี ของวิโดโด โดยบรรดานักวิเคราะห์มองว่า พล.ท.ซูเบียนโต จะได้รับอานิงส์จากความนิยมของชาวอินโดนีเซียต่อวิโดโด ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีกก็ตาม


อย่างไรก็ตาม การที่ศาลรัฐธรรมนูญของอินโดนีเซีย มีมติว่าบุคคลซึ่งเคยได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับภูมิภาคมาก่อน สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี แม้อายุยังไม่ถึงเกณฑ์อายุขั้นต่ำ คือ 40 ปี ทำให้บุตรชายของผู้นำอินโดนีเซีย ตกเป็นเป้าโจมตีของผู้สมัครอีกสองคนมาตลอด นอกจากนี้ ภูมิหลังทางทหารและการเมืองของ พล.ท.ซูเบียนโต ยังคงเป็นที่วิจารณ์ของหลายฝ่ายเช่นกัน


อนึ่ง คณะกรรมการการเลือกตั้งน่าจะประกาศผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ ในเดือน มี.ค. โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า 50% จากคะแนนรวมทั้งหมด หรืออย่างน้อย 20% จากมากกว่าครึ่งของทั้ง 38 จังหวัดในอินโดนีเซีย เพื่อการคว้าชัยชนะตั้งแต่รอบแรก มิเช่นนั้น ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนมากที่สุด 2 คน ต้องไปแข่งขันกันต่อ ในรอบตัดสิน ที่จะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. นี้.

เครดิตภาพ : AFP