นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ที่มีนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เป็นประธาน มีมติอนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะ (เฟส) ที่ 2 จำนวน 3 เส้นทาง ระยะทางรวม 634 กิโลเมตร (กม.) วงเงินรวม 133,146 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กม. วงเงิน 81,143 ล้านบาท 2.ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กม. วงเงิน 44,103 ล้านบาท และ 3.ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กม. วงเงิน 7,900 ล้านบาท ซึ่ง รฟท. จะเสนอเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงคมนาคมภายในเดือน ก.พ. นี้ เพื่อพิจารณาเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

นายนิรุฒ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ รฟท. ได้เสนอโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เฟส 2 ทั้ง 7 เส้นทางไปยังกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแล้ว แต่เนื่องจากมีความคิดเห็นว่าหากทำพร้อมกันทั้ง 7 เส้นทาง จะใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงได้ให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) และ รฟท. จัดลำดับความสำคัญแต่ละเส้นทาง และทยอยดำเนินการ ซึ่งเส้นทางที่ถูกจัดไว้เป็นอันดับที่ 1 ได้แก่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กม. วงเงิน 29,748 ล้านบาท โดยเส้นทางนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. แล้ว อยู่ในขั้นตอนการจัดทำร่างรายละเอียดเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค. 67 จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการประกวดราคาต่อไป ส่วนอันดับที่ 2 และ 3 ได้แก่ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย และช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี  

ส่วนอันดับที่ 4 ได้ขยับช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ซึ่งเดิมอยู่ในอันดับสุดท้ายขึ้นมาก่อน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมการค้าชายแดน และการขนส่งสินค้าข้ามชายแดน อีกทั้งเส้นทางนี้มีระยะทางสั้น สามารถดำเนินการก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว สำหรับอันดับที่ 5-7 ที่เหลืออีก 3 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กม. วงเงิน 24,294 ล้านบาท, ช่วงสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กม. วงเงิน 67,459 ล้านบาท และช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กม. วงเงิน 56,837 ล้านบาท จะทยอยเร่งรัดผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด กระทรวงคมนาคม และ ครม. ภายในปี 67

นายนิรุฒ กล่าวอีกว่า 3 เส้นทางที่ผ่านความเห็นชอบจากบอร์ด รฟท. ในครั้งนี้ ได้ผ่านการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) จากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานแล้ว ดังนั้นหากผ่านความเห็นชอบจาก ครม. จะสามารถเดินหน้าโครงการได้ทันที อย่างไรก็ตามยืนยันว่าอีไอเอของทั้ง 3 เส้นทางยังไม่หมดอายุ โดยเฉพาะช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ แม้ กก.วล. จะเห็นชอบอีไอเอตั้งแต่เดือน ส.ค. 61 แต่จากการหารือกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้รับคำยืนยันจาก สผ. ว่า โครงการดังกล่าวได้เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่มีการนำโครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 ทั้ง 7 เส้นทางเสนอกระทรวงคมนาคม และสอบถามความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เมื่อประมาณปี 63-64 ส่งผลให้อีไอเอไม่ขาดอายุ ทั้งนี้ ตามปกติหากอีไอเอผ่านความเห็นชอบจาก กก.วล. ต้องดำเนินโครงการภายใน 5 ปี หากไม่ดำเนินการภายในกำหนดดังกล่าว ต้องปรับปรุง หรือทำรายงานอีไอเอใหม่

นายนิรุฒ กล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ เฟสที่ 2 ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย มีระยะทาง 280.54 กม. เป็นระดับดิน 235 กม. ทางรถไฟยกระดับ 40.33 กม. และอุโมงค์ 5.22 กม. มี 36 สถานี (สถานีขนาดเล็ก 27 สถานี สถานีขนาดกลาง 8 สถานี สถานีขนาดใหญ่ 1 สถานี) ที่หยุดรถ 4 แห่ง มีย่านกองเก็บตู้สินค้า (CY) 3 แห่ง (สถานีรถไฟบางกระทุ่ม วังกะพี้ และศิลาอาสน์) จะมีการเวนคืน 1,089 ไร่ ส่วนช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี จะก่อสร้างทางรถไฟใหม่เพิ่มขึ้น 1 ทาง ขนานไปกับทางรถไฟเดิม ระยะทางรวม 307.7 แบ่งเป็น ระดับดิน 292.60 กม. ทางรถไฟยกระดับ 3 แห่ง ระยะทางรวม 15 กม.

มี 35 สถานี (สถานียกระดับ 3 แห่ง) ป้ายหยุดรถ 6 แห่ง ออกแบบลดผลกระทบจากการแบ่งแยกชุมชน ด้วยการสร้างสะพานลอย 14 แห่ง ทางคนลอด 27 แห่ง และทางสัตว์ลอด 15 แห่ง ต้องเวนคืน 43 ไร่ และช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จะก่อสร้างทางรถไฟใหม่เพิ่มขึ้น 1 ทาง ขนานไปกับทางรถไฟเดิม ระยะทางรวม 44.50 กม. มีทางรถไฟยกระดับ 2 แห่ง ระยะทาง 4.60 กม. มี 3 สถานี ที่หยุดรถ 3 แห่ง ต้องเวนคืน 21 ไร่.