เมื่อวันที่ 23 ก.พ. รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ หมอหมู แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้โพสต์ผลการศึกษาใหม่ของนักวิจัยฮาร์วาร์ด เกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 กับโรคหัวใจและหลอดเลือด ระบุว่า นักวิจัยฮาร์วาร์ด เชื่อมโยง PM2.5 กับโรคหัวใจและหลอดเลือด

ผลการศึกษาใหม่ที่นำโดย Harvard TH Chan School of Public Health พบว่า การสัมผัสกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เรื้อรัง อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

การศึกษานี้ จะเผยแพร่ออนไลน์ใน The BMJ ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2024

นักวิจัยได้ตรวจสอบบันทึกของโรงพยาบาลและระดับการสัมผัส PM2.5 ในผู้ป่วยเกือบ 60 ล้านคน ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ระหว่างปี 2000 ถึง 2016 ในสหรัฐอเมริกา

นักวิจัยติดตามแต่ละรายในแต่ละปีจนกระทั่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นครั้งแรก ด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือด

การศึกษาพบว่าการสัมผัส PM2.5 โดยเฉลี่ยใน 3 ปี มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกสำหรับภาวะหัวใจและหลอดเลือดทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง หัวใจล้มเหลว และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

การศึกษาพบว่า
1. เมื่อสัมผัสกับ PM2.5 ในระดับ 7-8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เรื้อรัง จะส่งผลให้ผู้สูงอายุเสี่ยงต่อการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด อยู่ที่ 3.04% ในแต่ละปี
2. เมื่อสัมผัสกับ PM2.5 ที่ต่ำกว่า 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ตามแนวทางของ WHO) เรื้อรัง จะส่งผลให้ผู้สูงอายุเสี่ยงต่อการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด อยู่ที่ 2.59% ในแต่ละปี
3. นักวิจัยคำนวณว่าการลดระดับ PM2.5 เฉลี่ยต่อปีจาก 7-8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ให้ ต่ำกว่า 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อาจลดการรักษาในโรงพยาบาลโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยรวมลง 15%

ในส่วนตัวเชื่อว่า นโยบายที่ชัดเจนและเข้มแข็งมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการปรับปรุงคุณภาพอากาศ และด้วยเหตุนี้จึงจะช่วยบรรเทาภาระของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและมีส่วนสำคัญต่อค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ ครับ

อ้างอิงข้อมูลจาก: Wei, Y., et al. (2024) Exposure-response associations between chronic exposure to fine particulate matter and risks of hospital admission for major cardiovascular diseases: population based cohort study. BMJ. doi.org/10.1136/bmj-2023-076939.

เรียบเรียงโดย: รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี