สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวถึงการให้คำมั่นสัญญาของสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อปีที่แล้ว ว่าจะส่งมอบกระสุนปืนใหญ่มากกว่า 1 ล้านนัดให้แก่ยูเครน ภายในเดือน มี.ค. ที่จะถึง แม้ต่อมาอียูกล่าวว่า จะส่งมอบให้ได้เพียงครึ่งเดียว แต่จนถึงตอนนี้ รัฐบาลเคียฟได้รับกระสุนปืนใหญ่จากอีกฝ่ายเพียง 30%


ทั้งนี้ การขาดแคลนอาวุธและความสนับสนุนจากฝ่ายตะวันตกที่เริ่มสะดุด ส่งผลอย่างชัดเจนต่อปฏิบัติการทางทหารของยูเครน ท่ามกลางสงครามกับรัสเซียซึ่งล่วงเข้าสู่ปีที่สาม โดยกองทัพยูเครนต้องถอนทหารออกจากเมืองอัฟดีฟกา หนึ่งในเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ ของภูมิภาคโดเนตสก์ ที่อยู่ทางตะวันออกของยูเครน


ขณะที่ความสนับสนุนทางทหารซึ่งยูเครนเรียกร้องเพิ่มเติม รวมถึง ขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสมอบความสนับสนุนที่เป็นขีปนาวุธ “สตอร์ม ชาโดว์”และ “สกัลป์”


อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ ผู้นำเยอรมนี ยังคงยืนกรานปฏิเสธการส่งมอบขีปนาวุธ “ทอรัส” ให้แก่ยูเครน ที่มีระยะทำการ 500 กิโลเมตร ไกลกว่า สตอร์ม ชาโดว์ และ สกัลป์ ซึ่งมีพิสัยทำการ 250 กิโลเมตร โดยโชลซ์กล่าวเพียงว่า “กองทัพเยอรมนีต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” แต่เยอรมนียังคงถือเป็นประเทศผู้สนับสนุนด้านอาวุธ รายใหญ่อันดับสองของยูเครน รองจากสหรัฐ


อีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพการประชุมกับผู้นำหลายประเทศในยุโรป เกี่ยวกับการเพิ่มการมอบความสนับสนุนทางทหารแก่ยูเครน โดยที่ประชุมเห็นพ้อง การส่งมอบอาวุธที่มีพิสัยทำการระยะกลาง และระยะไกลให้เพิ่มเติม อีกทั้งไม่ปฏิเสธแนวคิดการส่งทหารภาคพื้นดินเข้าไปในยูเครน เพื่อเป้าหมายของยุโรป ในการป้องกันไม่ให้รัสเซียเป็นฝ่ายชนะสงครามครั้งนี้.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES