เพลงดังมาแรงครองใจชาวโซเชียลทั่วบ้านทั่วเมือง นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก “ลืมฮูดซิบ” ที่มาพร้อมกับวลีทอง “แต่งตัวมาดแมน หุ่นปานดาราโก้” หลังนักร้องอีสานคนดัง “แอน อรดี” หยิบมาร้องใหม่จนดังสนั่นโลกออนไลน์ แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเพลงดังเพลงนี้ เจ้าของเพลงตัวจริงเสียงจริงคือ “แรนดี้ อีสาน” อดีตนักร้องวัยเด็กที่เคยร้องไว้เมื่ออายุ11ขวบ งานนี้เจ้าตัวมาย้อนวันวานเปิดใจผ่านรายการ โต๊ะหนูแหม่มเล่าชีวิตสุดลำบากกว่าจะกลับมาปังอีกครั้งเคยตกงานไม่มีงานจ้าง ต้องเบนเข็มไปทำงานในปั๊ม ร่วมไปถึงเป็นเด็กเสิร์ฟร้านหมูกระทะอีกด้วย
“คือมีดราม่าเยอะมากว่าเราต้นฉบับจริงหรอ เพราะหลายคนอาจจะเกิดไม่ทันเรา เพลงนี้มันเคยทำงานในช่วงที่เราเป็นเด็กอยู่ เค้ามาจำในภาพของที่พี่แอน อรดีเอามาร้องมากกว่า ตอนนั้นที่ร้องไว้ตอน11ขวบเอง ที่คุณแอน เอามาร้องจนดัง คือผมได้เจอกับพี่แอน ผมไปดูคอนเสิร์ต รู้จักกันอยู่แล้ว พี่เค้าเอามาร้องใหม่และก็มีท่าเต้นด้วย ก็รู้สึกดีใจที่เพลงมันกลับมาดังอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ได้คุยกับพี่แอนเค้าก็บอกว่าจะเอาเพลงของเธอกลับมาร้องใหม่ คุยกันผ่านๆคุยในงาน ผมก็ตกใจที่พี่เค้าเอามาร้องจริงๆครับ จนมันติดไปเลย คนก็เลยคิดว่าเป็นเพลงของพี่แอนจริงๆ พอพี่แอนเค้าไปทำดนตรีใหม่ให้มันสนุกขึ้นกว่าเดิม ของแรนดี้ก็เป็นอีกแบบนึงตอนเด็ก ย้อนไปตอนออกอัลบั้ม ผมก็จำไม่ได้แล้ว แต่น่าจะหลักล้านตลับ ดังอยู่ในแถบภาคอีสาน คือย้อนไปตอนเด็กผมเป็นคนชอบร้องเพลงมาก แล้วได้ไปรู้จักพ่อแม่บุญธรรมเค้าเป็นแฟนกัน เค้าก็เลยพาผมไปเจออาจารย์บ่าว สถาพร ซึ่งเราก็ชอบร้องเพลงอยู่แล้วเป็นสายประกวดมาตลอด”
“เราเริ่มประกวดมาตั้งแต่ประมาณ 9 ขวบครับ ที่เข้าสู่การประกวดร้องเพลง แต่ไม่ได้ร้องเพลงอีสานเลย คือตอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งแท้เลยครับ แล้วก็จะมีเพลงพระราชนิพนธ์เข้ามาแจมด้วยเป็นเพลงตายตัว แล้วก็มีรางวัลที่ภาคภูมิใจของผมด้วยครับ เป็นรางวัลพระราชทานจากพระเทพฯครับ อันนั้นผมประกวดเพลงพระราชนิพนธ์เพลงใกล้รุ่งครับ ผมชนะภูมิใจมาก ผมดีใจมากได้กลับมาทำในสิ่งที่รัก ผมทำงานทุกวันจนชินแล้วครับไม่รู้ว่ากระแสมันเป็นยังไง ไม่รู้ว่ามันถึงไหนแล้วแต่พยายามจะทำทุกวันให้ดีที่สุดครับ ที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้หยุดงานเท่าไหร่ ทำเพลงรถแห่ มีงานให้ทำทุกวันซื้อตอนนี้ผมสังกัดอยู่ที่ซาลาเปามิวสิค เป็นรถแห่คันใหญ่สิบล้อ ไปตามงานต่างๆ พอเพลงมันดังคนก็ตามหาผมขึ้นครับ ตามหาว่านี้หรอคือต้นฉบับ เจ้าภาพก็เริ่มถามหามากขึ้น งานคอนเสิร์ตเดี่ยวของเราก็เริ่มมีเข้ามา ก่อนหน้านี้มีอุบัติเหตุจนไม่มีงาน ช่วงนั้นก็ทำทุกอย่าง มาทำหมอลำซิ่งกับพ่อเอ๊ะ ระเบียบวาทศิลป์ ผมไปของานทำก็ไปอยู่กับแกได้3ปี ต้องบอกชีวิตผมยิ่งกว่าละครเลยพี่ ก่อนที่จะกลับมาทำงานผมไปทำงานในปั๊ม อยู่ในจิฟฟี่คอยจัดของในร้าน และที่ลำบากไปกว่านั้นคือผมไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านหมูกระทะด้วย คนจำไม่ได้หรอกว่าเราคือใคร แต่โชคดีที่ได้ร้องเพลงด้วย เวลานักร้องไม่มาผมก็ได้ไปร้องแทน ตอนนั้นยอมรับว่ามันเหนื่อยและท้อหลายๆอย่าง มันอยากจับไมค์เลยครับ แต่ไม่อายที่ทำงานแบบนั้น ผมคิดว่าการไม่ทำงานมันน่าอายมากกว่า”