สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ว่า กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ รายงานมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 112 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 750 คน จากเหตุการณ์ฝูงชนเข้าไปรายล้อมและแย่งกันรับสิ่งของบรรเทาทุกข์ จากคาราวานรถบรรทุก 38 คัน ในเขตทางตะวันตกของเมืองกาซาซิตี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในภาคเหนือของฉนวนกาซา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และทหารอิสราเอลยิงปืนเข้าใส่ฝูงชนด้วย
“We recognize the suffering of the innocent people of Gaza. This is why we are seeking ways to expand our humanitarian efforts.”
— Israel Defense Forces (@IDF) February 29, 2024
Watch the full statement by IDF Spokesperson RAdm. Daniel Hagari on the incident regarding the humanitarian aid convoy the IDF facilitated. pic.twitter.com/m6Pve3Odqw
ต่อมา กองทัพอิสราเอลออกแถลงการณ์ ว่าชาวปาเลสไตน์หลายพันคนเบียดเสียดจนแทบเหยียบกัน ระหว่างแย่งกันรับแจกสิ่งของ โดยหลายคนวิ่งตัดหน้ารถที่กำลังแล่นอยู่ ส่งผลให้มีทั้งผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้ กองทัพอิสราเอลยอมรับว่า ทหารในพื้นที่ยิงปืนเข้าใส่ฝูงชนจริง แต่ให้เหตุผลว่า “เพื่อควบคุมสถานการณ์ที่กำลังอันตราย”
“The Israelis send us this aid so they can kill our children.”
— Middle East Eye (@MiddleEastEye) February 29, 2024
Israeli forces opened fire on people who were seeking food from an aid convoy on Al-Rasheed Street in Gaza City. The UN says at least half a million people are one step away from famine in Gaza. pic.twitter.com/uXlSgeL2IB
ด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า กำลังตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว และรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายประกอบการประเมินเหตุการณ์ ขณะที่รัฐบาลกาตาร์เตือนว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้ อาจกลายเป็นการขยายวงจรความรุนแรง ส่วนรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และคูเวต ออกแถลงการณ์ประณามอิสราเอลอย่างหนัก
อนึ่ง สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งสู้รบกันในฉนวนกาซาตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30,000 ราย ท่ามกลางความพยายามครั้งใหม่ของนานาประเทศ นำโดยกาตาร์และอียิปต์ ซึ่งต้องการให้อิสราเอลและกลุ่มฮามาสบรรลุข้อตกลงหยุดยิงครั้งใหม่ ครอบคลุมตลอดเดือนรอมฎอน หรือการถือศีลอดของชาวมสุลิม ที่จะเริ่มในวันที่ 10 มี.ค. นี้.
เครดิตภาพ : AFP