หนึ่งในรถใหม่ที่จ่อเปิดตัวในบ้านเราในช่วงมอเตอร์โชว์ที่กำลังจะถึงนี้ก็คือ “น้องเล็ก” จากค่ายเลกซัส ในชื่อรุ่นว่า “LBX” รถครอสโอเวอร์ในพิกัด ซัพคอมแพ็ค (Sub Compact Crossover) เกรดพรีเมี่ยม ที่ใช้ขุมพลังเบนซินไฮบริด 1.5 ลิตร ที่มีความประหยัด และความสะดวก เน้นไปที่ กลุ่มลูกค้าที่ยังไม่พร้อมจะออกรถไฟฟ้าเป็นรถใหม่ หรือกลุ่มที่ยังเชื่อมั่นในความสะดวกของเครือข่ายปั๊มน้ำมัน แต่ที่สำคัญคือ ต้องการรถที่ทนทานเชื่อถือได้ในสไตล์ของเลกซัส นั่นเอง
LBX นั้นย่อมาจาก Lexus Breakthrough Xover หรือ เลกซัส เบรคทรู ครอสโอเวอร์ ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “รถสไตล์ครอสโอเวอร์สายพันธ์ใหม่ของเลกซัส” ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าใหม่จริง เพราะนี่คือพิกัดเล็กที่สุดที่เลกซัส ได้ผลิตขึ้นมา โดยพื้นฐานของรถคันนี้ก็มาจาก โตโยต้า รุ่น ยาริส ครอส (Yaris Cross) แต่เป็นคนละเวอร์ชั่นกับที่มีขายในบ้านเรา โดยพิกัดตัวถังนั้นเรียกได้ว่า ใกล้เคียงกับ มาสด้า ซีเอ็กซ์ 3 (Mazda CX3) นั่นเอง แต่แน่นอนว่าด้วยชื่อชั้นของ “เลกซัส” แล้ว แม้จะตัวเล็ก แต่ก็อัดแน่นไปด้วยคุณภาพและความพรีเมียมที่เหนือกว่ารถยี่ห้ออื่นๆ
ด้านรูปลักษณ์นั้นถือว่าทำได้ลงตัว มีเส้นสายที่มีมัดกล้าม โดยด้านกระจังหน้านั้นเป็นแนวทางเดียวกับที่เราเห็นได้จาก รถตู้หรูของค่ายเลกซัส คือเป็นการดัดแปลงรูปแบบของกระจังหน้า รูปทรงนาฬิกาทราย ที่เลกซัสใช้มานับสิบปี แต่หั่นด้านบนออก คงเหลือแต่เพียงฐานด้านล่าง ส่วนด้านบนเปลี่ยนเป็นการเชื่อมไฟหน้าสองด้านด้วยการใช้เส้นนอนยาวแทน ถือว่าดูแล้วสบายตาทีเดียว ส่วนด้านท้ายก็ใช้ไฟท้ายที่มีการเชื่อมเส้นไฟจากซ้ายจดขวา ดูลงตัว พรีเมียม
ด้านห้องโดยสารนั้นแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ได้รับการยกระดับคุณภาพวัสดุและสัมผัสขึ้นไปเหนือกว่ารถในพิกัดเดียวกัน และยังใช้ปรัชญาการออกแบบที่คงเน้น ความเชื่อถือได้จากการทดลองซ้ำๆ จนหมดข้อผิดพลาด ไม่ได้เอาแต่หวือหวา เหมือนค่ายรถหน้าใหม่นิยมกัน สังเกตได้จากการที่ยังรักษาไว้ซึ่งปุ่มควบคุมแบบกลไก แทนที่จะหันไปใช้ระบบทัชสกรีนล้วน เพราะมันได้พิสูจน์แล้วว่ามันใช้งานได้ง่ายและคล่องตัวกว่า
ด้านขุมกำลัง เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตรไฮบริด นั้นเป็นดีไซน์แบบช่วงชักยาว มีกำลัง 91 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 120 นิวตันเมตร ส่วนระบบไฮบริดนั้น ใช้แบตเตอรี่ความจุ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 80 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร รวมพลังสูงสุดของระบบคือ 136 แรงม้า โดยมีให้เลือก 2 แบบ ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือจะเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบ E-Four ที่จะมีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มเข้าไปที่เพลาหลัง ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะให้กับผู้ที่ต้องการใช้งานในประเทศที่มีหิมะ หรือคนที่ชอบการซิ่งบนถนนคดเคี้ยว
ด้านช่วงล่างนั้น ด้านหน้าจะเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท (Macpherson Strut) แต่ด้านหลังจะแตกต่างกันในรุ่นขับหน้า และขับสี่ โดยรุ่นขับหน้านั้น กันสะเทือนหลังแบบคานบิดกึ่งอิสระ ทอร์ชั่นบีม (Torsion Beam) แต่ถ้าเป็นขับสี่ก็จะได้รับกันสะเทือนแบบอิสระ
สำหรับราคานั้น ในญี่ปุ่นอยู่ในช่วง 1.12 -1.35 ล้านบาท ถ้ามาบ้านเราก็แตะสองล้านอย่างแน่นอน เรียกว่าเป็นรถเศรษฐี เอาไว้ใช้จ่ายตลาดได้ทันที