สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงนโยบายประจำปีต่อที่ประชุมร่วมวาระพิเศษ ของสภาคองเกรส เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันที่ 5 พ.ย. ที่จะถึง


แน่นอนว่า การแถลงตอนหนึ่งต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศ ซึ่งผู้นำสหรัฐกล่าวว่า บ้านเมืองกำลังเผชิญกับการคุกคามต่อเสรีภาพ และกลไกประชาธิปไตย ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามกลางเมือง ในสมัยประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ จับมือกับนายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร จากพรรครีพับลิกัน หลังเสร็จสิ้นการแถลงนโยบายประจำปี ต่อสภาคองเกรส


ตลอดระยะเวลาของการกล่าวสุนทรพจน์ ไบเดนไม่เอ่ยโดยตรงถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี ซึ่งจะเป็นคู่แข่งสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ แต่ใช้คำว่า “ผู้นำคนก่อนหน้า” ซึ่งไบเดนกล่าวว่า “ก้มหัว” ให้กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ทว่าตัวเขา “ไม่มีทางทำเช่นนั้น” และเน้นย้ำความสนับสนุนของรัฐบาลวอชิงตัน ที่มีต่อยูเครน


นอกจากนี้ ไบเดนกล่าวถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ว่า “เจริญรุ่งเรือง” ในยุคของตัวเอง ด้วยสถิติการสร้างงานใหม่ 15 ล้านตำแหน่ง ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี และอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี แม้ผลสำรวจความคิดเห็นอเมริกันชน จากศูนย์วิจัยแทบทุกแห่ง เป็นไปในทางเดียวกัน ว่าประชาชนยังคงไม่พอใจกับค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจของสหรัฐไม่ได้เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น แต่ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า “เป็นมรดกจากรัฐบาลชุดก่อนหน้า”


เกี่ยวกับความกังวล และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมคำถามของหลายฝ่าย ที่มีต่ออายุของไบเดน ซึ่งมากถึง 81 ปีแล้ว ว่าสมควรลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัยหรือไม่ ผู้นำสหรัฐกล่าวด้วยตัวเอง ว่าสิ่งซึ่งเพิ่มขึ้นตามวัยวุฒิที่เพิ่มขึ้น คือ “การรับรู้ประวัติศาสตร์ของอเมริกา”.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES