เมื่อวันที่ 13 มี.ค. พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้เบิกตัวนายพิทญา บุญญัติศักดิ์ หรือนาย อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีฆ่าแฟนสาว “น้องสา” สาวสวยอินฟลูเอนเซอร์และดาว TikTok ขายครีมบำรุงผิว ชาวเมียนมา วัย 35 ปี โดยตำรวจได้เบิกตัวนายพิทญาหรือนาย ออกจากห้องขัง ไปยังห้องสอบสวนทันที โดยมีผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามสาเหตุการฆ่าและร่วมกระทำกี่คนและมีใครเห็นเหตุการณ์บ้าง แต่นายพิทญา หรือนาย กลับไม่ยอมพูดกับผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด ก่อนตำรวจคุมตัวเข้าห้องพนักงานสอบสวนเพื่อทำการสอบสวนปากคำอย่างละเอียดถึงการก่อเหตุที่เกิดขึ้น

โดยก่อนหน้านี้นายพิทญา หรือนาย ได้ให้การรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าน้องสา แฟนสาวชาวเมียนมาจริง สาเหตุเกิดจากความหึงหวงเพราะระแวงว่าผู้ตายจะไปมีแฟนใหม่ โดยใช้มีดแทงลำคอพร้อมปิดปากแน่น หลังเสียชีวิตแล้วได้ใช้ผ้าห่มห่อศพลากออกจากห้องพักบริเวณตลาดหลังวัดท้าวโคตร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ไปโยนทิ้งบ่อร้างในกุฏิร้างภายในวัด ห่างประมาณ 20 เมตร ก่อนที่รุ่งเช้าได้เอาทองคำของน้องสา ผู้ตายไปขายพร้อมหลบหนีไปที่ จ.กระบี่ จนมาติดต่อขอมอบตัวผ่านตำรวจ สภ.เมือง คนหนึ่ง เมื่อวานนี้ (12 มี.ค.) ที่เขต อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช

จับแล้ว ‘ไอ้นาย’ ฆาตกรโหดฆ่า ‘น้องสา’ อินฟลูฯ เมียนมา อ้างหึงหวง

ในขณะที่ พ.ต.อ.กิตติชัย ไกรณรา ผกก.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า จากการสอบถามจากแพทย์เวร รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ที่ทำการชันสูตรพลิกศพระบุว่าบาดแผลที่ถูกแทงลำคอของผู้ตายทำให้น้องสาผู้ตายเสียชีวิตในทันที ภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งทางตำรวจได้นำผลชันสูตรของแพทย์เวรมาประกอบสำนวนในการสอบสวนคดีนี้ด้วย โดยในวันนี้มีกำหนดจะนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ แต่ปรากฏว่า นายพิทญา หรือนาย เกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมไปทำแผน ส่วนการฝากขังจะฝากขังในวันพรุ่งนี้ (14 มี.ค.) ส่วนการทำแผนเป็นสิทธิของผู้ต้องหาอาจจะไม่ทำแผนก็ได้ ส่วนศพของน้องสา จะทำการฌาปนกิจศพในวันพรุ่งนี้ 14 มี.ค. ที่วัดบุญนารอบ อ.เมืองนครศรีธรรมราช

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้เกิดกระแสการออกมารวมกันตัวเรียกร้องความเป็นธรรมและทวงคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้น้องสา แม้จะเป็นต่างด้าว แต่เป็นคนดี มีอัธยาศัยไมตรีกับทุกคน มีความเมตตาต่อผู้อื่นจนเป็นที่รักของพรรคพวกเพื่อนฝูงทั้งชาวไทยและชาวเมียนมา ที่มองว่าตำรวจพยายามจะปกป้องเข้าช่วยเหลือนายพิทญา หรือนาย ฆาตกรมาตั้งแต่ต้นและอาจจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของตำรวจและจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอย่างมาก.