เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมประเด็นเหล่านี้ถึงไม่เคยหายไปจากเด็กไทยเสียที ไม่ว่าจะเป็น “ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร” “ไม่รู้ว่าชอบอะไร” “คณะที่เรียนชอบจริงๆ มั้ย” “ไม่รู้ว่าจบมาอยากทำงานอะไร” ไปจนถึง “งานที่ทำตอบโจทย์ชีวิตจริงๆ หรือเปล่า?”

ถ้ามองกันจริงๆ นี่อาจเป็นปัญหาใต้พรมของระบบการศึกษาในหลายประเทศทั่วโลก ทำไมเด็กอเมริกาถึงมีช่วงเวลา gap year ออกไปเที่ยวรอบโลกหรือลองทำงานที่ชอบ ลงเรียนคอร์สระยะสั้น แล้วค่อยกลับมาเรียน ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเด็กรุ่นใหม่ในเมืองไทยมาสักระยะแล้ว

ต้องยอมรับว่า ‘ระบบการศึกษา’ มีส่วนไม่น้อย เพราะตั้งแต่เข้าสู่ระบบการศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทุกคนต้องเรียนวิชาเดียวกันด้วยวิธีการคล้ายๆ กัน เน้นท่องจำ ทำคะแนนสูงๆ เด็กที่เก่งเลขจะถูกเหมารวมว่าจะต้องเรียนหมอ วิศวะ ส่วนเด็กที่เหลือถ้าไม่เรียนสายศิลป์ ก็ต้องเบนเข็มไปเรียนสายอาชีพ นี่คือสูตรสำเร็จที่ทำตามกันมา กว่าจะรู้ตัวว่าสิ่งที่เรียนไม่ชอบ งานที่ทำไม่ใช่ ก็เสียเวลาชีวิตไปหลายปี

มัธยมต้น’ ควรเป็นวัยที่เด็กได้ค้นหาตัวเองอีริค อีริคสัน (Erik Erikson) นักจิตวิทยาเจ้าของทฤษฎีการพัฒนาจิตสังคม (Theory of Psychosocial Development) และวิกฤตด้านตัวตน (Identity Crisis) เชื่อว่า ช่วงอายุ 12-18 ปี เป็นช่วงที่เด็กจะค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านการค้นหาค่านิยม ความเชื่อและเป้าหมาย พยายามที่จะหาอาชีพในอนาคต ความสัมพันธ์ ครอบครัว บ้าน และหาสังคมที่เหมาะกับตนเอง โดยให้ความสำคัญกับบทบาทที่จะเป็นในอนาคต แต่ถ้าสร้างตัวตนในสังคมไม่สำเร็จ อาจทำให้สับสน ไม่เข้าใจตัวเองหรือบทบาทตัวเองในสังคม เกิดวิกฤตด้านตัวตน

ประเด็นคือ ระบบการศึกษาไทยควรให้เด็กวัยนี้เริ่มต้นค้นหาตัวเอง ด้วยตัวเอง ผ่านการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางและครูทำหน้าที่เป็นโค้ช และให้ความสำคัญกับจุดแข็งและจุดอ่อนของผู้เรียน เพื่อปรับหลักสูตร วิชาที่เรียน วิธีการเรียนให้ตอบโจทย์แต่ละบุคคล แนวทางที่ว่านี้เรียกว่า ‘Personalised Learning’

หมดยุคการเรียนแบบ ‘One Size Fits All’
แม้แต่เราเองก็ยังต้องการบริการและประสบการณ์ ‘เฉพาะบุคคล’ แล้วทำไมการเรียนรู้ในระบบการศึกษายังเป็น ‘One Size Fits All’ นั่นเป็นเหตุผลที่วงการการศึกษาในต่างประเทศหันมาใช้แนวทาง ‘Personalised Learning’ มากขึ้นเพราะตระหนักแล้วว่า ไม่มีหลักสูตรใดที่สมบูรณ์แบบ และเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างหลักสูตรที่ตอบสนองนักเรียนทุกคน เพราะนักเรียนต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต่างกันไป วิธีการสอนแบบเดิมๆ จึงไม่ตอบโจทย์ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

จุดเด่นของ ‘Personalised Learning’ จะยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพราะเชื่อว่าเด็กแต่ละคนย่อมมีความสนใจต่างกัน ก็ควรจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ตามความสามารถ และความถนัดของตัวเอง แทนที่จะเรียนทุกอย่างตามหลักสูตร แนวทางนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่อยากรู้ ได้พัฒนาทักษะที่ตัวเองสนใจมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือ เป็นวิธีที่ช่วยให้เด็กได้ค้นหาตัวเอง ได้รู้เป้าหมายที่แท้จริงว่าต้องการอะไร ถนัดสิ่งไหน และอะไรคือแพชชั่นที่เขาจะอยู่กับสิ่งนั้นไปตลอด

โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา ต้นแบบการเรียน ‘Personalised Learning’ ในไทย ‘โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา’ หรือ ‘LSP School’ ภายใต้การบริหารงานของ LEARN Corporation ผู้ก่อตั้ง LEARN Education, สถาบันกวดวิชา OnDemand, สถาบันกวดวิซา Ignite, และสถาบันแนะแนว TCASter เล็งเห็นปัญหาในระบบการศึกษาไทย จึงมีเป้าหมายยกระดับการศึกษาให้ตรงประเด็น ตรงเป้าหมายของเด็กแต่ละคน ภายใต้แนวคิด “Be the best in your way” ด้วยการเรียนแบบ ‘Personalised Learning’ เพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของนักเรียน และให้เขาบรรลุเป้าหมายความสำเร็จตามที่ตั้งใจได้อย่างมีความสุข

แต่ก่อนจะรู้เป้าหมาย ต้องมีกระบวนการเพื่อค้นให้เจอในทุกแง่มุมที่เด็กสนใจ ทั้งความชอบ ความถนัด โดยจะต้องทำตั้งแต่มัธยมต้น ผ่านกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พูดคุยกับครูที่ปรึกษา ทำกิจกรรมสะท้อนความคิดในห้องเรียน ภายใต้แนวคิด Positive Psychology เป็นการออกแบบเนื้อหาและสอนโดยนักจิตวิทยา โรงเรียน และทีมครู โดยใช้เครื่องมือ RIASEC เพื่อประเมินบุคลิกภาพและความถนัด หรือ Personal Growth ทำให้นักเรียนค้นพบตัวตนในแง่ต่างๆ และสะท้อนเด็กในเชิงอาชีพได้ นอกจากนี้นักเรียนจะสามารถค้นหาตัวเองผ่านวิชาเลือกมากกว่า 40 รายวิชาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ครอบคลุมหลายแขนง

หลังผ่านกิจกรรมค้นหาตัวตนในช่วงมัธยมต้น นักเรียนจะได้เข้าร่วมกิจกรรมมากมายเพื่อค้นหา Dream Career อาทิ กิจกรรม I-Career Workshop ให้เด็กได้รู้จักอาชีพที่หลากหลาย ผ่านการสวมบทบาทตามสถานการณ์จำลอง และเข้าร่วมกิจกรรมกิจกรรมแนะแนวเส้นทางการศึกษาจากสถาบันพันธมิตร ทำความรู้จักคณะและมหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ ก่อนตัดสินใจเลือกเป้าหมายและได้รับแผนการเรียนรายบุคคล โดยจะมี IDP (Individual Development Plan) หรือครูที่ปรึกษาแผนการเรียนรายบุคคล คอยผลักดันให้เด็กรู้จักตนเอง สามารถวางอนาคตและมุ่งสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้ ไปจนถึงการต่อยอดสู่การฝึกงานในสถานประกอบการต่าง ๆ เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริงตามสายอาชีพที่สนใจ

‘Career Track’ แผนการเรียนที่ออกแบบมาให้ครอบคลุมทุกสายอาชีพ โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา ยังได้ออกแบบแผนการเรียนในระดับชั้นมัธยมปลาย เพื่อช่วยผลักดันให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะ ความสามารถ และต่อยอดความสนใจไปสู่อาชีพในฝัน ได้แก่

  • General Health Science: แผนการเรียนที่ตอบโจทย์ผู้เรียนที่สนใจด้านวิทยาศาสตร์ และสุขภาพ
  • Engineering & Technology: เหมาะสำหรับผู้เรียนที่สนใจวิศวกรรม ชอบเรื่องเทคโนโลยี หรืออยากต่อยอดทักษะด้านคอมพิวเตอร์
  • Commercial Arts: เหมาะสำหรับคนที่สนใจด้านศิลปะ ดนตรี การออกแบบ
  • Business Social Sciences & 3rd Language: แผนการเรียนสำหรับคนที่อยากทำธุรกิจหรือเรียนรู้ภาษาที่สามเพิ่มเติม

เรียนรู้จากการลงมือทำ วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่งคือการฝึกฝนใน ‘โลกความเป็นจริง’ นี่คือมุมที่โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา จึงออกแบบกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนได้ลงมือทำในโลกความเป็นจริง อาทิ The Explore กิจกรรมเวิร์กช้อปสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้นให้ได้ทดลองทำงานจริงใน 6 อาชีพ ได้แก่ แพทย์, ทันตแพทย์, นักกฎหมาย, นักวาดและนักออกแบบ, วิศวะวิทยาการคอมพิวเตอร์ และสายงานบันเทิงเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยอาชีพทั้งหมดนี้มาจากการโหวตของนักเรียน

นักเรียนชั้นมัธยมปลายจะมีการสอบ IELTS, TOEFL ข้อได้เปรียบคือทางโรงเรียนจะมีหลักสูตรที่ได้มาตราฐานสากลอย่าง Cambridge International School และเตรียมความพร้อมสู่รั้วมหาวิทยาลัยนานาชาติและต่างประเทศ โดยการฝึกทำข้อสอบ ELTS พร้อมฝึกฝนการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดโอกาสสู่โลกกว้างผ่านซัมเมอร์แคมป์ และกิจกรรมเวิร์กชอปต่าง ๆ ร่วมกับ APPA (แอปปา) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาในการเรียนต่อต่างประเทศอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย ทั้งในระดับมัธยมศึกษา ปริญญาตรี และปริญญาโทภายใต้การดูแลของ Learn Corp

นายเศรษฐพล ไกรคุณาศัย ผู้อำนวยการโรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา กล่าวว่า “ปัจจุบันเด็กไทยจำนวนมากต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการศึกษา เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้คันหาตัวเองอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เด็กไม่มีเป้าหมายในการเรียนที่ชัดเจน ต้องแบกรับภาระการเรียนมากเกินความจำเป็น แนวคิดการเรียนแบบ Personalised Learning ของเราจะเน้นให้เด็กลงมือทำจริง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้รู้ตัวได้ว่าชอบสิ่งไหน และทำให้เด็กรู้สึกมั่นใจได้ว่าจะไม่หลงทาง เพราะเด็กทุกคนมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่ชอบ เรียนตามความถนัด จะช่วยปลดล็อกศักยภาพและเติบโตไปอย่างมีคุณภาพพร้อมด้วยสุขภาพจิตที่ดี”

ปัจจุบัน โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา มี 3 หลักสูตร คือ Signature Program, International Program และหลักสูตรใหม่ล่าสุดคือ International Signature Program (ISP) เรียน ISP ได้ทั้งวุฒิไทยและอเมริกาด้วย เป็นวุฒิการศึกษาที่เกิดจากการลงนามความร่วมมือกับโรงเรียน Washington Academy สหรัฐอเมริกา ผู้เรียนจะได้รับวุฒิ High School Diploma ควบคู่กับวุฒิการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย