จากกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้มีการนำข้อมูลขบวนการรับส่วยและเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจระดับสูง ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มอบให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมถึงก่อนหน้านี้นายษิทรา มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดเผยข้อมูลหลักฐานที่กล่าวอ้างว่าเชื่อมโยงไปถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จนทำให้ทีมกฎหมายของ ผบ.ตร. ออกมายืนยันว่าลูกความได้รับความเสียหายหลายประการ ทั้งครอบครัว หน่วยงานที่กำกับดูแล และวัดต่างๆ ซึ่งยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าข้อมูลที่นายษิทรา นำมาเปิดในที่สาธารณะได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าในเรื่องนี้วันที่ 29 มี.ค. ที่ ศาลอาญากรุงเทพใต้ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ในฐานะผู้ได้รับอำนาจจากโจทก์ เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. โดยเฉพาะในส่วนของประเด็นการจัดหาทนายความ การแถลงข่าวชี้แจง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องส่วนตัวที่ท่านมอบอำนาจให้ นอกจากนี้ ตนได้แต่งตั้งหัวหน้าทีมทนายความ คือ นายศิริพงษ์ พงศ์พันธุ์สุข อดีตอัยการอาวุโส สำนักงานคดีศาลสูงสุดภาค 1 โดยได้มีการแต่งตั้งเป็นเอกสารเรียบร้อยแล้ว ส่วนพฤติการณ์ที่บิ๊กต่อให้ตนมาฟ้องร้องทางอาญาแก่ทนายตั้ม คือ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท เนื่องจากมีการกล่าวหาว่าบิ๊กต่อ ไปเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าหรือรับเงินส่วย อย่างไรก็ตาม บิ๊กต่อยังได้ขอบคุณทนายตั้มที่เปิดโอกาสให้เอาเรื่องนี้มาตรวจสอบในการทำงานของท่าน และตรวจสอบความโปร่งใสของท่าน โดยศาลได้ประทับรับฟ้อง นัดหมายไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 10 มิ.ย. เวลา 13.30 น.

นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า ตนสามารถยืนยันได้ว่า บิ๊กต่อและครอบครัวพร้อมรับการตรวจสอบทุกเรื่อง ไม่เฉพาะในกรณีของทนายตั้ม แต่หมายรวมไปถึงกรณีของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่ได้รับการแต่งตั้งมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ท่านยินดีให้ตรวจสอบ แต่ขอให้มีการเข้าสู่กระบวนการของศาล ซึ่งทนายตั้มมีสิทธิในการซักค้านสอบถามได้ในชั้นศาล หรือจะไปแต่งตั้งทีมทนายความของตัวเองก็ได้ในฐานะจำเลย ซึ่งถ้าหากหลักฐานทั้งหมดที่ทนายตั้มนำมาเปิดเผยเป็นความจริง หรือได้รับการพิสูจน์เอกสารว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ก็ยินดีให้ศาลได้พิสูจน์ข้อเท็จจริง

ส่วนสมาชิกรายอื่นหรือครอบครัวของบิ๊กต่อนั้น ทุกคนก็พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมให้การตรวจสอบ แต่ขอให้เป็นกระบวนการของศาลไม่ใช่นำไปพูดอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่มีหลักฐานอะไรมาชี้ชัด ดังนั้น กรณีนี้ทนายตั้มสามารถนำเอาเอกสารมาใช้ถามในชั้นศาลได้ และในการเบิกความชั้นศาล บิ๊กต่อจะเป็นผู้มาเบิกความเอง และถ้าใครจะเรียกตรวจสอบก็ยินดีให้ตรวจสอบ รวมถึงหากทาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เชิญเข้าไปให้ข้อมูลก็ยินดีเข้าไปด้วยตัวเอง

การฟ้องหมิ่นประมาททนายตั้มในวันนี้ ไม่ใช่การฟ้องแก้เกี้ยว แต่ต้องการเอากระบวนการยุติธรรมขึ้นสู่ศาล ทนายตั้มจะได้ถามค้านและใช้สิทธิได้เต็มที่ หากสงสัยอะไรก็จะมีการตอบในศาล เพราะจะมีการบันทึกปากคำของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง มันบิดเบือนไม่ได้ และยืนยันว่าท่านจะไม่มีการถอนฟ้องในอนาคต ไม่มีการไกล่เกลี่ยหรือต่อรองโกรธแค้น

ด้านทนายศิริพงษ์ หัวหน้าทีมทนายความ กล่าวว่า หลักฐานต่างๆ ที่ทนายตั้มเอาออกมาแสดงนั้น ไม่มีอะไรเลย ถือเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา หากเจ้าตัวยืนยันว่าเป็นเอกสารข้อเท็จจริง ทำไมจึงไม่มีการไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ อย่างไรก็ตาม วันนี้เราได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีแล้ว หลังจากนี้ก็ต้องมีการมาต่อสู้ในชั้นศาลกัน ซึ่งหากมีการพิสูจน์แล้วพบว่ามีมูลจริงก็พร้อมยอมรับ แต่ข้อมูลที่ได้มานั้น ถือว่าได้มาโดยมิชอบ เป็นการไปหลอกว่าหลายบุคคลมีคดีเกี่ยวพันต่อเนื่อง ซึ่งทางบิ๊กต่อก็มีความมั่นใจว่าต่อสู้คดีได้ เพราะว่าเชื่อมั่นว่าข้อมูลของทนายตั้มเป็นเท็จทั้งนั้น และข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาเปิดในชั้นศาล ทั้งนี้ เราไม่มีความจำเป็นต้องไปหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ยืนยันว่าระหว่างและหลังจากนี้ เราจะไม่มีการเพลี่ยงพล้ำแน่นอน.