พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เปิดเผยว่า ในปีนี้ 67 นี้ ได้พยายามหารายได้จากธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจด้านดิจิทัล และโครงสร้างพื้นฐาน คือ ดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาว์ด และเทคโนโลยีเอไอ และรายได้อื่น คือ การพัฒนาพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ โดยได้คาดการณ์รายได้ ปี 67 อยู่ที่ 87,983 ล้านบาท และมีรายจ่ายอยู่ที่ 89,882 ล้านบาท ซึ่งจะขาดทุนเกือบ 2,400 ล้านบาท แต่หากไม่รวมงบของโครงการเกษียณก่อนกำหนด (เออร์รี่ รีไทร์) จะทำให้มีกำไรประมาณ 900 ล้านบาท
“ปี 67 ที่ยังต้องขาดทุน เพราะมีโปรแกรมเออร์รี่ รีไทร์อยู่ตลอด ซึ่งตอนนี้พนักงานมีอยู่ 12,600 คน และมีเอ้าท์ซอร์สอีก 5,000 คน แต่สิ้นปีนี้พนักงานน่าจะลดมาอยู่ราว 11,000 คน และในปี 70 น่าจะถึงเป้าหมายที่ 7,000 คน พร้อมกับจะเป็นปีที่มีกำไรสุทธิเกิน 1,000 ล้านบาท”
พันเอก สรรพชัยย์ กล่าวต่อว่า สำหรับรายได้ ปี 67 ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 8,965 ล้านบาท , กลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศ 2,190 ล้านบาท,กลุ่มโมบายล์ 47,889 ล้านบาท ,กลุ่มโทรศัพท์พื้นฐานและบรอดแบนด์ 18,673 ล้านบาท ,กลุ่มดิจิทัล 4,303 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 5,960 ล้านบาท โดยเฉพาะเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา มีรายได้แล้ว 1,770 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ เอ็นทีกำลังร่างแผนงานโอนย้ายลูกค้ามือถือที่ใช้บริการมาย ( My) ของเอ็นทีจำนวน 1.7 ล้านราย หลังจากที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จะเตรียมเปิดประมูลคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคม และขอให้เอ็นทีทำแผนส่งคืนคลื่นความถี่ที่ใช้อยู่คือ 850 เมกกะเฮิร์ตซ , 2100 เมกกะเฮิร์ตซ และ 2300 เมกกะเฮิร์ตซ ซึ่งจะหมดอายุในเดือน ก.ย. 68
“เมื่อคืนคลื่นให้ กสทช.หลังหมดอายุใบอนุญาตแล้ว จะเหลือเพียงคลื่น 700 เมกกะเฮิร์ตซ จำนวน 5 เมกกะเฮิร์ตซ ที่ได้จากการประมูลเท่านั้น เอ็นทีจะต้องพัฒนาการบริการให้เป็นรูปแบบไอโอทีมากขึ้น โดยขณะนี้ได้ขยายโครงข่าย ไปแล้วกว่า 50% และสิ้นปีนี้จะมีโครงข่ายในย่าน 700 เมกกะเฮิร์ตซ จำนวน 9,800 สถานีฐาน เป้าหมายลูกค้า 6 ล้านราย” พันเอก สรรพชัยย์ กล่าว