เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่สำนักงาน Sittra Law firm นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน แถลงข่าวกรณี 2 บิ๊กตำรวจพัวพันคดีฟอกเงิน แต่กลับถูกดำเนินคดีแบบสองมาตรฐาน ว่า ที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าตนเองไม่ได้ทำเพื่อชาติ แต่เป็นการทำเพื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ตนเองมีความสนิทสนมนานหลายปี แต่ยืนยันว่าวันนี้ไม่มีเรื่องเพื่อนพี่น้อง เป็นการทำเพื่อชาติ ใครจะโกรธก็ต้องโกรธ ตนจะดำเนินคดีทั้งสองฝ่ายให้ถึงที่สุด

ต่อมานายษิทรา ได้เปิดแผนผังแสดงความเชื่อมโยงระหว่างบัญชีม้าจากเว็บไซต์พนันออนไลน์ BNK Master ที่มีความเชื่อมโยงไปถึงบิ๊กตำรวจทั้งสองคน โดยกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น พบว่ามีเงินจากเว็บพนันออนไลน์โอนเข้าบัญชีม้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชาถืออยู่จำนวน 4 บัญชี และโอนไปยังบัญชีครอบครัว รวมทั้งมีการโอนไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใจกลางกรุงเทพฯ จำนวน 4 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลให้กับครอบครัว และยังมีการโอนเข้าไปยังบัญชีของน้องชายและแม่เดือนละ 5 หมื่นบาท ซึ่งเป็นหลักฐานที่สามารถดำเนินคดีอาญากับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้อย่างแน่นอน แต่เรื่องของวินัยนั้น ตนไม่ทราบรายละเอียดขั้นตอน แต่มองว่าเป็นการทำงานแบบเป็นขบวนการเร่งรัดให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนทันที ก่อนที่ตำรวจจะส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.อีกครั้ง

ขณะที่การดำเนินคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ นั้น ตนได้นำพยานหลักฐานทั้งเส้นทางการเงินและอื่นๆ ไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บก.ปปป.) แต่ยังไม่มีความคืบหน้า พนักงานสอบสวนอ้างว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบเส้นทางการเงินและตรวจสอบต้นทางของบัญชีต่างๆ ซึ่งมองว่า เป็นการดำเนินการสองมาตรฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมตั้งคำถามว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. และพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. จะกล้าดำเนินคดีกับผู้บังคับบัญชาคือ บิ๊กต่อ หรือไม่ ทั้งที่หลักฐานที่ตนเองนำไปส่งให้นั้นชัดเจนว่ามีการโอนเงินจากบัญชีม้าไปยังภรรยาของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และเครือญาติชัดเจน ทั้งยังพบว่าเงินถูกใช้จ่ายเป็นค่านิติบุคคลให้กับคอนโดมิเนียม 3 แห่ง รีสอร์ทหรูชื่อดังที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรถอีกหลายคัน แต่ไม่ขอระบุว่าเจ้าของอสังหาฯ ดังกล่าวเป็นใคร เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว

นายษิทรา ย้ำว่า ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ต้นทางมาจากบัญชีม้าบัญชีหนึ่งชื่อณัฐพงศ์ มีเงินเข้าจากเว็บไซต์การพนันออนไลน์ เฉพาะบัญชีนี้เดือนละ 80 ล้านบาท ยอดรวมทั้งหมดมีมากกว่า 800 ล้านบาท และพบว่าเงินจากบัญชีนี้ถูกโอนต่อเป็นทอด และเชื่อมโยงไปยังปลายทางคือบัญชีของเครือญาติและคนสนิท พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ในลักษณะเดียวกันกับกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงเป็นเหตุให้ตั้งข้อสงสัยว่า การดำเนินการของพนักงานสอบสวนมี 2 มาตรฐาน พร้อมตำหนิการทำงานของพนักงานสอบสวนว่า “หลักฐานขนาดนี้ดำเนินคดีไม่ได้ก็ไปชิงหมาเกิด”

นายษิทรา ตั้งคำถามว่า การที่ไม่มีใครกล้าดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เนื่องจากมีเบื้องหลังดีหรือไม่ และเชื่อว่านายกรัฐมนตรีก็ไม่กล้ายุ่งเช่นกัน ขอให้ประชาชนช่วยสนับสนุนตนเองด้วย เพราะตนยอมตาย เสียสละ ทำเพื่อชาติ ในอนาคตอาจจะโดนยิงตายก็ได้ และถ้าทำให้ส่วยน้อยลง ตนก็อาจได้ขึ้นสวรรค์ก็ได้ และต่อไปนี้จะทำเพื่อประชาชน ใครที่โทรศัพท์มาปรึกษาคดีกับตนในหมายเลขโทรศัพท์เดิมก็จะไม่คิดเงินอีกต่อไป และหากหลักฐานที่ตนยื่นไปเป็นเท็จก็ดำเนินคดีกับตนเองได้

นายษิทรา กล่าวว่า พรุ่งนี้ (24 เม.ย.) จะนำข้อมูลเส้นทางการเงินของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ไปให้พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ที่บก.ปปป. เวลา 10.00 น. บิ๊กเต่าจะอยู่พบตัวเองหรือไม่ก็ไม่เป็นไร และให้ขอดูการกระทำของตนเอง ที่กล้าเอาผิดกับทั้งสองฝั่งเป็นตัวอย่าง และในวันพฤหัสบดีนี้จะไปพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูนเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมด้วย

นายษิทรา กล่าวอีกว่า คดีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่มีความผิดจากการรับเงินจากเว็บพนันออนไลน์นั้น เชื่อว่าผิดจริง และในฐานะทนายความมองว่าค่อนข้างจะเหนื่อยแล้ว แต่ต้องเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้คดีต่อไป แต่ศาลจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ทั้งนี้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองอ้างว่าได้รับข้อมูลมาสักพักแล้ว และเพิ่งมาประมวลข้อมูลช่วงสงกรานต์ และตั้งใจจะนำไปแถลงก่อน ก.ตร. แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อนจึงไม่ได้ดำเนินการตามที่ตั้งใจ