เมื่อวันที่ 27 เม.ย. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สามารถ พรหมชาติ ผบก.น.6 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. สนธิกำลังจับกุมตัว นายบี (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ชาว จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลเยาวชนและครอบครัว ที่ 51/2567 ลงวันที่ 24 เม.ย. 67 ฐาน “ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธในเวลากลางคืน เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายสาหัส, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น เพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำผิดอย่างอื่นหรือเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร” โดยจับกุมได้ที่ริมถนนราชพฤกษ์-นนทบุรี 1 ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 67 เวลาประมาณ 06.30 น. สน.สำราญราษฎร์ ได้รับแจ้งเหตุกลุ่มคนร้ายเป็นชาย วัยรุ่น 3 คน สวมเสื้อแต่งกายมิดชิด ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายซึ่งเป็นคนขับรถแท็กซี่ โดยใช้อาวุธมีดแทงและชกต่อย บริเวณหน้าซอยตรอกไข่ ถนนบำรุงเมือง แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กทม. และลักเงินสด พร้อมโทรศัพท์มือถือไป จนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา
หลังจากกลุ่มคนร้ายได้ก่อเหตุ ช่วงเวลาระหว่างหลบหนี พบผู้เสียหายอีกราย ซึ่งเป็นเด็กพนักงานปั๊มนํ้ามันที่เดินผ่านมา ถูกกลุ่มคนร้ายรายนี้ ใช้อาวุธมีดจี้ไปที่ลำคอและชกต่อย ที่บริเวณหลังศาลาว่าการกรุงเทพฯ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กทม. ก่อนปล้นโทรศัพท์มือถือ แล้วหลบหนีขึ้นรถสาธารณะที่ขับผ่านมา จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ก่อเหตุ มี 3 คน ชายสวมเสื้อแจ๊กเกตสีขาว, ชายสวมเสื้อสีขาว-เทา และชายสวมเสื้อฮู้ดสีดำ 1 คน หลบหนีขึ้นรถเมลล์สาย 12 ไป
ต่อมา พล.ต.ท.ธิติ ได้สั่งการให้รวมนักสืบของ บช.น. เร่งสืบสวนติดตามพิสูจน์ทราบเพื่อจับกุมคนร้ายอย่างเร่งด่วน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมสืบสวนทราบว่า กลุ่มคนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุดังกล่าว ประกอบด้วย นายบี ผู้ต้องหา อายุ 16 ปี, นายซี อายุ 18 ปี และนายนพพร ทองภิลา หรืออาร์ม อายุ 23 ปี จึงรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีได้รัดกุม จนสามารถยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณาออกหมายจับกลุ่มคนร้ายทั้ง 3 คนได้แล้ว กระทั่งวันนี้ 25 เม.ย. เวลา 13.30 น. สามารถตามจับกุมตัวนายบี อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊ง 1 ใน 3 คนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุได้ที่ริมถนนราชพฤกษ์-นนทบุรี 1 จ.นนทบุรี ขณะกำลังจะหลบหนี
จากการสอบสวนให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันปล้นทรัพย์คนขับรถแท็กซี่พร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน จริง โดยที่ตนเองเป็นผู้ใช้อาวุธมีดจ้วงแทงคนขับรถแท็กซี่ และใช้อาวุธมีดจี้ลำคอเด็กปั๊ม ก่อนที่จะหลบหนี โดยนายบี ยินยอมสมัครใจพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจยึดเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายในวันก่อเหตุที่ห้องพักของตน ส่วนอาวุธมีดนั้น รับว่าได้โยนทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานพระราม 7 ในวันก่อเหตุ
ส่วนคนร้ายอีก 2 คน คือ นายซี (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี และนายนพพร อายุ 23 ปี เมื่อตรวจสอบประวัติพบว่า นายซี เป็นบุคคลตามหมายจับศาลเยาวชนจังหวัดนนทบุรี ที่ 2/2567 ลงวันที่ 9 ก.พ. 67 ข้อหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และทำให้เสียทรัพย์” และนายนพพร เป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 324/2567 ลง 30 มี.ค. 67 ในข้อหา “ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งทั้ง 2 มีหมายจับอยู่แล้ว จึงเร่งติดตามจับกุมตามหมายจับ และนำตรวจยึดสิ่งของ เครื่องแต่งกายที่ใช้ในวันก่อเหตุ ก่อนที่จะจับกุมตัวนายบี ผู้ต้องหาในคดีนี้ หลังถูกจับกุม ทั้ง 3 รายให้การรับสารภาพว่า คืนก่อเหตุได้เกิดความคึกคะนองชักชวนกันไปปล้น
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า ภายในวันเดียวกัน (22 เม.ย. 67) กลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ ได้ก่อเหตุในลักษณะแผนประทุษกรรมเดียวกัน ปล้นทรัพย์สิน ในพื้นที่เขต สภ.เมืองนนทบุรี อีก 2 ครั้ง ต่อเนื่องกันไป ซึ่งกลุ่มคนร้ายทั้ง 3 เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีประวัติโชกโชนตั้งแต่อายุยังน้อย เข้าออกสถานพินิจเป็นประจำ มีพฤติกรรมชอบรวมกลุ่มกันเสพยาเสพติดทั้งวันทั้งคืน เมื่อมีอาการมักจะคึกคะนอง ชอบใช้ความรุนแรงทะเลาะต่อยตีผู้คนไม่เลือกหน้า มีคู่อริไล่ทำร้าย ใช้อาวุธมีดไล่ฟันอยู่เป็นประจำ จนคนในละแวกท่าน้ำนนท์ จ.นนทบุรี รู้จักกันเป็นอย่างดีถึงวีรกรรมของวัยรุ่นกลุ่มนี้
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ควบคุมงานสืบสวน สั่งให้สืบนครบาล และสืบ บก.น.6 บูรณาการไล่ล่าแก๊งอันธพาลเยาวชนนี้ ได้เข้ามาก่อนเหตุในย่านสำราญราษฎร์ จึงได้ประสานข้อมูล และการปฏิบัติกับสืบจังหวัดนนทบุรี จึงพบว่ามีประวัติสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทั้งในพื้นที่นนทบุรี และเขตกรุงเทพฯ พฤติกรรมอุกอาจประสงค์ต่อทรัพย์ และทำร้ายเหยื่อ และฝากเตือนให้พ่อแม่ผู้ปกครองช่วยควบคุมบุตรหลานของท่านให้อยู่ภายในกรอบ ไม่ควรปล่อยบุตรหลานของท่าน ให้มีการรวมตัว และชักชวนกันไปกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย กระทั่งก่อผลเสียให้กับสังคม นอกจากจะต้องเสียอนาคตก่อนวัยอันควร จะเป็นเหตุให้ผู้ปกครองต้องถูกดำเนินคดีอีกด้วย.