เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 30 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่จะมีการประชุมข้าราชการตำรวจช่วงบ่ายวันนี้ ว่า จะมีการนำประเด็นเรื่องร้องเรียนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เข้าที่ประชุมด้วยหรือนั้น เรื่องนี้เป็นวาระที่ฝ่ายเลขานุการได้กำหนดไว้คิดว่าเป็นเรื่องของการประชุม ตนคงไม่ออกมาเปิดเผยอะไร และถ้ามีการเสนอวาระก็ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ตนคงไม่ได้เข้าพิจารณาด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลหรือไม่ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ส่วนตัวยืนยันว่าไม่กังวล และยังมั่นใจว่าในฐานะรักษาราชการแทน ก็ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่มีอยู่ โดยถอยหลังกลับไป ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายบริการโดยกองวินัยได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนรายงานต้องคดีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และเสนอความเห็นให้ตนดำเนินการตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 ส่วนเรื่องร้องเรียนตอนนี้มีกี่เรื่องตนยังไม่ทราบ

เมื่อถามความคืบหน้าคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตอนนี้ตนได้สอบถามความคืบหน้าจาก พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 ทราบว่าขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานในหน้าที่ของพนักงานสอบสวนอยู่ ได้รับทราบเพียงเท่านี้

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สราวุฒิ การพาณิชย์ รอง ผบ.ตร. ระบุว่า รรท.ผบ.ตร. มีอำนาจในการพิจารณาเปลี่ยนตัว หนึ่งในคณะกรรมการที่มีข้อขัดแย้งกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนได้รับทราบแล้วว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีหนังสือยื่นคัดค้านในเรื่องคณะกรรมการบางท่าน ตนยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นสิทธิโดยถูกต้องและชอบธรรมของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกฎ ก.ตร. แต่ขั้นตอนต่อไป ตนได้สั่งการให้กองวินัยไปพิจารณาและเสนอความเห็นว่าคณะกรรมการท่านใดขัดต่อคุณสมบัติที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นคัดค้านไปหรือไม่ หากขาดคุณสมบัติและเป็นไปตามที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นคัดค้าน ก็จะต้องมีการพิจารณาเปลี่ยนตัว เพื่อไม่ให้เป็นกรรมการ ถือว่าเป็นกระบวนการให้ความเป็นธรรมและเป็นการถ่วงดุลระหว่างคณะกรรมการกับผู้ถูกกล่าวหา แต่ถ้าฝ่ายวินัยพิจารณาแล้วเห็นว่าคณะกรรมการในจำนวนที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้คัดค้าน ไม่ขัดต่อคุณสมบัติที่กฎ ก.ตร. กำหนดไว้ คณะกรรมการก็จะดำเนินการสอบสวนพิจารณาทางวินัยต่อไป

เมื่อถามว่าได้วางกรอบระยะเวลาไว้หรือไม่ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนไม่ได้วางกรอบระยะเวลาไว้ เพราะคณะกรรมการสอบสวนมีกรอบเวลาตามที่กำหนดไว้ตามกรอบกฎ ก.ตร. อยู่แล้ว เป็นเรื่องที่ พล.ต.อ.สราวุฒิ ในฐานะประธานฯ จะสอบสวนพิจารณาตามพยานหลักฐานการประชุม และเป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.สราวุฒิ ที่จะต้องพิจารณาในเรื่องนี้อยู่แล้ว 

เมื่อถามว่าจะสอบสวนแล้วเสร็จก่อนที่ พล.ต.อ.สราวุฒิ จะเกษียณอายุราชการหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เรื่องกรอบระยะเวลาเป็นเรื่องภายใน รวมถึงเรื่องการขยายเวลาด้วย พล.ต.อ.สราวุฒิ อาจจะสอบสวนแล้วเสร็จก่อนเกษียณอายุก็ได้ หรืออาจจะต้องใช้เวลาในการสอบสวนเป็นระยะเวลานานก็ได้ 

เมื่อถามว่าทำไมถึงได้แต่งตั้ง พล.ต.อ.สราวุฒิ เป็นประธานฯ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า เป็นเพราะ พล.ต.อ.สราวุฒิ อยู่ในจุดที่ทำให้ข้าราชการตำรวจและสังคม ซึ่งอยู่ในจุดที่มีความเป็นกลางที่สุดแล้ว เพื่อให้ความเป็นธรรมระหว่างข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกกล่าวหา จึงได้มอบหมายและสั่งการออกมาเป็นคำสั่งให้ พล.ต.อ.สราวุฒิ เป็นประธานฯ ในเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่าเพื่อความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา และขออย่าใช้คำว่าตกใจ เพราะเป็นข้าราชการตำรวจก็ต้องมีหน้าที่รับภารกิจต่างๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่ พล.ต.อ.สราวุฒิ ไม่มั่นใจว่าจะเสร็จทันก่อนเกษียณอายุราชการหรือไม่นั้น ตนมองว่าไม่มีคำว่ามั่นใจ เพราะเป็นเรื่องที่ประธานและคณะกรรมการต้องพิจารณาตามขั้นตอนหรือกระบวนการที่กำหนดไว้ในกฎ ก.ตร. และกฎหมาย

เมื่อถามว่าส่วนตัวอยากให้เรื่องนี้จบก่อนที่ พล.ต.อ.สราวุฒิ จะเกษียณอายุราชการหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ไม่มีความคิดว่าจะจบก่อนหรือไม่จบก่อน ขอให้เป็นการดำเนินการของคณะกรรมการ เป็นไปตามบทบาทและกระบวนการขั้นตอน ตนยืนยันว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงเด็ดขาด จะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการจะพิจารณาไปตามพยานหลักฐานและการประชุมของคณะกรรมการ

เมื่อถามว่าได้วางแผน 2 รองรับในกรณีที่สอบสวนไม่แล้วเสร็จก่อน พล.ต.อ.สราวุฒิ จะเกษียณอายุหรือไม่ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้ พล.ต.อ.สราวุฒิ จะต้องทำงานไปตามหน้าที่ในฐานะประธานกำกับเรื่องการพิจารณาไปตามกระบวนการ แต่ถ้าไม่แล้วเสร็จ ก็ต้องไปดูในวันที่เกษียณว่ายังเหลือ รอง ผบ.ตร. ท่านใดบ้าง แต่ก็ยังยึดหลักความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหาเสมอ รวมถึงต้องพิจารณาไปตามกฎหมายและระเบียบ ก.ตร. ที่กำหนดไว้

เมื่อถามว่า รอง ผบ.ตร.คนต่อไปที่จะต้องมารับช่วงต่อจาก พล.ต.อ.สราวุฒิ จะเป็นจเรตำรวจแห่งชาติหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ต้องไปดูวันนั้น เพราะตนก็ยังไม่รู้ว่าใครจะถูกเสนอชื่อเป็น ผบ.ตร. และใครจะได้รับมอบหมายงานอะไร เมื่อยังไม่ทราบก็ยังไม่ได้คิดถึงวันนั้น เพราะตนก็ไม่รู้ว่าวันหน้าจะเป็นอะไรหรือเปล่า ขอให้ไปดูวันนั้นดีกว่า

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เชิญให้ไปพบและให้ข้อมูลที่ทำเนียบรัฐบาล รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ยังไม่ทราบกระแสข่าว ให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายเลขานุการ เพราะตนอยู่ในฐานะรองประธานและกรรมการด้วย เมื่อถามถึงประเด็นว่าจะมีการแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร. โดยการดึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขึ้นมานั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มี ตอนนี้เป็นนายพลที่จะเกษียณอายุราชการตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ซึ่งใช้ข้อกำหนด ก.ตร. ปี 2566 ผ่านมติเห็นชอบเพื่อนำมาใช้ และยืนยันว่า ไม่มีนายพลที่จะมอบหมายให้เป็น พล.ต.อ.

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้องเรียนว่าถูกทำร้ายร่างกายนั้น รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบ แต่หากเกิดขึ้นจริง ก็มีหลายช่องทางที่จะติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ ร้องเรียนตามระบบต่อผู้บังคับบัญชาของ ตร. ก็ได้ แต่เรื่องนี้ตนยังไม่ทราบรายละเอียด.