เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ ศูนย์ประสานงานเพจสายไหมต้องรอด ซอยสายไหม 38 กทม. นางสาวมานิตา (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ผู้เสียหาย ชาว จ.กาญจนบุรี เดินทางเข้ามาขอความช่วยเหลือกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกอดีตแฟนเก่า ซึ่งบวชเป็นพระเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 67 ปัจจุบันอยู่จำวัดแห่งหนึ่ง ใน จ.อุทัยธานี หลังคบหาเพียง 4 เดือน บังคับให้วิดีโอคอล และแคปรูปภาพขณะผู้เสียหายอาบน้ำส่งให้พระรูปอื่นในวัดดูจนเกิดความเสียหาย จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.สุชาติ จันทสิงห์ สว.(สอบสวน) สน.ตลิ่งชัน ไว้เมื่อเวลา 11.43 น. วันที่ 11 พ.ค. 67

นางสาวมานิตา กล่าวว่า ตนเริ่มคุยกับอดีตสามีของตน ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตลอดเวลาที่คบกัน มักจะชอบมีอารมณ์หึงหวงและบังคับวิดีโอคอลหากันตลอดเวลา เคยตบหน้าตนแค่ครั้งเดียวแต่ไม่ถึงขั้นทำร้ายร่างกายรุนแรง และเคยแท้งลูกกับเขา ซึ่งเขาก็ไม่รับ ยังด่าว่าลูกไม่ใช่ของเขา อีกทั้งยังกลับไปคุยกับแฟนเก่าระหว่างคบหากับตนด้วย จนกระทั่งมาถึงต้นเดือน เม.ย. แม่ฝ่ายชายได้แนะนำให้ตนและอดีตสามีเลิกรากัน เนื่องจากแม่ฝ่ายชายไม่ชอบตน เพราะอ้างว่า ตนจะมาหลอกเอาเงินฝ่ายชาย ทั้งที่ความเป็นจริง ฝ่ายชายเป็นคนเอาเงินไปใช้มากกว่า แต่ด้วยความที่ตนไม่อยากมีปัญหาจึงตัดสินใจยอมเลิกกับฝ่ายชายและถอยความสัมพันธ์ออกมา

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าฝ่ายชายก็ยังคงมีพฤติกรรมตามคุกคามตนอยู่ตลอดเวลา เคยถึงขั้นฉุดขึ้นรถจักรยานยนต์เพื่อไปเคลียร์ปัญหาพูดคุยกันที่บ้าน แต่ก็เคลียร์กันไม่ลงตัว เนื่องจากฝ่ายชายยังมีการติดต่อกับอดีตภรรยาคนแรกอยู่ แต่ไม่มีการทำร้ายร่างกายใดๆ

ต่อมาอดีตสามีได้ไปรับจ้างเปิดบัญชีม้า แต่กลับเอาเงินบัญชีม้าจำนวนกว่า 50,000 บาทไปใช้ จึงทำให้เจ้าของเงินเกิดความไม่พอใจ และพยายามติดตามทวงเงินคืน แต่ทางอดีตสามีของตนไม่มีเงินคืนให้และเกรงว่าจะได้รับอันตราย จึงตัดสินใจหนีไปบวชเป็นพระที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.อุทัยธานี เพราะเชื่อว่าบวชเป็นพระแล้วจะไม่รับอันตรายใดๆ

โดยขณะที่พระอดีตสามีครองสมณเพศนั้น พระอดีตสามีได้โทรศัพท์กับวิดีโอคอลมาหาตนเกือบทุกวัน พร้อมพูดจาในเชิงหึงหวงกล่าวหาว่า ตนอยู่กับคนอื่น ซึ่งตนพยายามปฏิเสธหลายครั้ง แต่ทางฝ่ายชายก็ไม่เชื่อ ก่อนจะมีการบังคับให้ตนเปิดกล้องวิดีโอคอลในขณะที่ตนกำลังอยู่ในสภาพเปลือยกายเพราะกำลังจะอาบน้ำ โดยพระอดีตสามีอ้างว่า ต้องการตรวจเช็กว่า ตนอยู่กับคนอื่นหรือไม่ โดยที่ตนพยายามห้ามปรามเพราะจะอาบน้ำ แต่ฝ่ายชายก็ไม่ฟัง ไม่เชื่อใจคิดว่าตนนอกใจมีชายอื่น อีกทั้งพระยังควักอวัยวะเพศมาโชว์ให้ตนเองดูระหว่างวิดีโอคอลด้วย

นางสาวมานิตา ยอมรับว่า ด้วยความที่ตนยังมีใจกับพระอดีตสามีคนนี้ เพราะเขาอ้างว่ายังรักตน และถูกข่มขู่ว่าจะตามมาทำร้ายตน จึงยอมพูดคุยกันอยู่ โดยตั้งกล้องระหว่างอาบน้ำ ซึ่งตอนนั้นตนไม่ทราบว่าพระแอบแคปภาพ จนกระทั่งวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา พระอดีตสามีได้นำรูปแคปในสภาพที่ตนเปลือยกายส่งมาให้ตนดู ซึ่งตอนนั้น ตนรู้สึกตกใจ และพยายามถามพระว่า เหตุใดต้องแคปภาพไว้ แต่พระก็ยืนยันว่า ไม่มีอะไร แคปไว้ดูเฉยๆ เท่านั้น

หลังจากนั้นวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา พระในวัดรูปหนึ่งได้มีการแชตเฟซบุ๊กมาหาตน พร้อมมีการเตือนพฤติกรรมของตนและพระอดีตสามีว่า ทั้งคู่ทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากพระยังครองสมณเพศ แต่นำรูปภาพโป๊เปลือยของตนไปให้พระในวัดรูปอื่นดูอีก จึงทำให้ตนเกิดความรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ตนจึงตัดสินใจร้องเรียนเพจสายไหมต้องรอด เนื่องจากอดีตสามีได้ข่มขู่ว่า เขามีญาติเป็นตำรวจ เป็นคนอารมณ์ร้อน รวมทั้งเคยข่มขู่ว่าจะบุกมาพังร้านค้าหลายครั้งสมัยคบกัน จึงทำให้ตนรู้สึกเกรงกลัวในเรื่องความปลอดภัยของตนเองกับลูก และต้องการที่จะยุติความสัมพันธ์กับฝ่ายชาย รวมทั้งต้องการจัดดำเนินคดีทางกฎหมายกับพระอดีตสามี ยืนยันว่าไม่ให้โอกาส ไม่กลับไปคบหาคืนดีกันอีก โดยตนอยากฝากบอกพระว่า ท่านกระทำการไม่เหมาะสมและบังคับจนตนจำใจต้องวิดีโอคอล ถ้าจะบวชก็ตัดให้ขาด อย่าทำแบบนี้เลย

ด้านนายเอกภพ เปิดเผยว่า เรียนพระอดีตสามีว่า บัดนี้ท่านไม่ใช่ฆราวาสแล้ว แม้ท่านจะไปบวชในวัดที่ จ.อุทัยธานี ไม่ว่าจะมีความเชื่อว่าบวชเพื่อความปลอดภัย หนีเจ้าหนี้บัญชีม้าหรือบวชเพื่อพุทธศาสนา แต่การกระทำเช่นนี้ย่อมมีความผิดทั้งทางโลกและทางธรรม อาจจะถึงขั้นอาบัติด้วยซ้ำ ซึ่งทางผู้เสียหายแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ตลิ่งชัน แล้ว โดยตนจะช่วยประสานทางตำรวจในการคุ้มครองความปลอดภัยและออกหมายเรียกพระมาสอบปากคำ คาดว่าข้อหาน่าจะเป็นเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ในเรื่องการแชร์ภาพลามกลงสู่ระบบ ส่วนข้อหาอื่นๆ รอให้ทางพนักงานสอบสวนสอบปากคำต่อไป

ขณะที่พระอดีตสามีของ นางสาวมานิตา เปิดเผยทางโทรศัพท์กับสื่อมวลชน พร้อมปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นฝ่ายวิดีโอคอลหาฝ่ายหญิงและบังคับให้ฝ่ายหญิงวิดีโอคอลหาขณะอาบน้ำ แต่ฝ่ายหญิงเป็นผู้วิดีโอคอลหาตนเองขณะอาบน้ำและเปลือยกาย โดยพระยอมรับว่า แคปภาพเอาไว้จริง แต่แคปเอาไว้เพื่อเตือนสติฝ่ายหญิงว่าไม่สมควรทำแบบนี้ ยืนยันว่าไม่ได้ส่งภาพให้พระรูปอื่นในวัดแต่อย่างใด ส่วนประเด็นที่ฝ่ายหญิงอ้างว่า พระได้โชว์อวัยวะเพศขณะวิดีโอคอล ยืนยันว่า ตนไม่ได้ทำดังกล่าว ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

พระอดีตสามี เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า ที่ผ่านมาตนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกับฝ่ายหญิง ถึงขั้นต้องหนีไปบวช ไม่ใช่หนีไปบวชเพราะถูกกลุ่มบัญชีม้าตามไล่ล่าตามที่ฝ่ายหญิงกล่าวอ้าง และที่ผ่านมาตนไม่เคยพูดจาข่มขู่ใดๆ กับฝ่ายหญิงมาก่อนเลย หากฝ่ายหญิงได้ไปแจ้งความดำเนินคดีแล้ว ตนก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย.