ได้แก่ องค์กรไม่แสวงผลกำไร หรือที่เรามักเรียกว่า NGO และองค์กรการกุศล เช่น กลุ่มมูลนิธิ สมาคม องค์กรชุมชน ซึ่งในช่วงหลัง ๆ ได้มีการเพิ่มกลุ่มบริษัทที่ทำงานเพื่อสังคม หรือที่เรียกว่า CSR และกลุ่มวิสาหกิจเพื่อสังคม SE ที่กำลังมาแรงซึ่งทุก ๆ 2 ปีนักวิจัยจะรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ จาก 17 ประเทศ ทั้งด้านนโยบายและการสนับสนุนของรัฐ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ระบบภาษี สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG ซึ่งประเทศไทยได้มีการรวบรวมข้อมูลโดย นักวิจัยของวิทยาลัยโลกคดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไปประมวลผลกับอีก 17 ประเทศ โดยองค์กรที่เป็นผู้วิเคราะห์และเผยแพร่ คือ Center for Asian Philanthropy and Society หรือ CAPS โดยสามารถเข้าไปดูข้อมูลเชิงลึกได้ที่ www.caps.org

ทั้งนี้ ในปีนี้เพิ่งรวบรวมผลสำรวจเสร็จ Dr. Ruth A. Shapiro ผู้อำนวยการองค์กร CAPS จึงเชิญนักวิจัยจาก 17 ประเทศไปนั่งจับเข่าคุยกันที่กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา โดยภาพรวมของทั้ง 17 ประเทศนั้น ในช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจากช่วง Covid-19 เนื่องจากทุก ๆ ประเทศเริ่มกลับเข้าสู่การดำเนินชีวิตตามปกติ สภาพเศรษฐกิจของทุกประเทศอยู่ในช่วงฟื้นตัว นโยบายการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของทุกประเทศมีความสำคัญมากกว่าการพัฒนาสังคม เมื่อผู้คนต่างมีความยากลำบากในการหาเงิน อัตราการบริจาคโดยรวมจึงลดลง ยกเว้นการบริจาคตามความเชื่อและความศรัทธายังคงไปได้ดี ยกเว้นในประเทศที่มีข่าวฉาวในวงการศาสนา เงินกองทุนสนับสนุนจากต่างประเทศสู่ภูมิภาคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศใดมีกองทุนของประเทศเพื่อพัฒนาสังคมโดยไม่พึ่งพาทุนต่างชาติจะมีศักยภาพที่ดีกว่า ประเทศใดมีภาคธุรกิจที่เข้มแข็ง มีงาน CSR ที่มีมาตรฐาน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับภาคสังคมประเทศนั้นก็จะมีความก้าวหน้า แม้ภาค NGO จะถดถอยลงไปอย่างเห็นได้ชัดในทุกประเทศ แต่ ภาคที่เป็นดาวรุ่งคือวิสาหกิจ
เพื่อสังคม
หรือที่เรียกว่า Social Enterprise (SE) ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการทำความดีในหลายประเทศ ที่สำคัญ
คนรุ่นใหม่สนใจทำงานกับ SE มากกว่าทำงานกับ NGO หรือมูลนิธิ

ถ้าประเทศต่าง ๆ จะขับเคลื่อนภาคสังคมให้ก้าวหน้า คงจะต้องช่วยกันรณรงค์ตั้งแต่ระดับนโยบาย การพัฒนากองทุนภายในประเทศ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการองค์กรทางสังคมให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ สามารถสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง และต้องทำให้การบริจาคออนไลน์สะดวกและเชื่อถือได้ และยกเว้นภาษีให้ได้มากขึ้นและสะดวกขึ้น นักวิจัยในประเทศต่าง ๆ ต่างเห็นตรงกันว่า องค์กรส่วนใหญ่ที่ทำงานด้านสังคมกำลังอยู่ในยุคถดถอย ต้องการการพัฒนา และการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน

สรุปแล้วประเทศไทยทำความดีอยู่ในลำดับใด?คะแนนจากผลสำรวจนำมาประมวลผลเปรียบเทียบ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม
1. กลุ่มประเทศที่เป็นผู้นำมีความก้าวหน้า
2. กลุ่มประเทศที่ทำได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. กลุ่มประเทศที่ทำได้ดีพอประมาณ และ 4. กลุ่มประเทศที่ยังทำไม่ได้ดีนัก
ประเทศไทย
ยังอยู่ในกลุ่มที่ 3 ทำได้ดีพอประมาณ เหมือนเดิมมาหลายปีอยู่ในระดับเดียวกับกัมพูชา อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ปากีสถาน และเวียดนาม โดยยังตามผู้นำกลุ่มที่ 1 คือ สิงคโปร์ และไต้หวัน อยู่สองอันดับ

แล้วประเทศไทยจะทำให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร? ที่เรามีคะแนนตํ่ากว่ามาตรฐานภูมิภาคในด้านการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับองค์กรภาคสังคม ภาครัฐของเรายังไม่ค่อย outsource งานภาคสังคมให้มูลนิธิ หรือ NGO ทำ ในประเทศที่ทำได้ดี ภาครัฐจะตัดงานที่มูลนิธิ และ NGO ทำได้ดีกว่าให้องค์กรเหล่านั้นทำ โดยภาครัฐจะเน้นเรื่องนโยบายใหม่ ๆ เตรียมงบประมาณของรัฐ และช่วยเชื่อมแหล่งทุน CSR จากภาคธุรกิจมาเพิ่ม นอกจากนี้ยังมีเรื่องความสะดวกในการจดทะเบียนองค์กรด้านสังคม และการจัดการมาตรฐานที่เราน่าจะทำให้ดีขึ้นได้อีก และบางประเทศยังมีการกระตุ้นการบริจาคด้วยการมีกิจกรรมวันแห่งการให้แห่งชาติ ประเทศชั้นนำในกลุ่ม 1 เช่น ไต้หวันส่งเสริมวัฒนธรรมการให้และจิตอาสาจนโดดเด่น ส่วนสิงคโปร์ก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยการที่รัฐร่วมมือกับองค์กรทางสังคม และภาคธุรกิจ วางเป้าหมาย และ Roadmap ให้ทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมาย SDG และกำลังจะมีกฎหมายใหม่ ๆ กฎระเบียบทางสังคม และกองทุนเพื่อสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ

ผมมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อน ๆ ในหลายประเทศ และมีความรู้สึกในใจว่าคนไทยมีจิตใจที่ดีงามไม่แพ้ใคร มีการให้ และจิตอาสาเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิม มีศักยภาพในระดับต้น ๆ แต่ขาดผู้นำที่สนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ที่สามารถเชื่อมประสานภาคส่วนต่าง ๆ ผมจำได้ว่าในปี พ.ศ. 2550 มีการรวมพลังความดีครั้งใหญ่ทั่วประเทศไทยใน “โครงการทำดีเพื่อพ่อ” ช่วงนั้นระดับโลกเราขึ้นไปในระดับ Top 5 แต่เราทำแค่เป็น Event แล้วไม่ทำต่อ ซึ่งพอเปลี่ยนรัฐบาล…เปลี่ยนยุค…ก็เลิกไป ทั้งที่เราเคยติดอับดับสุดยอดของโลกมาแล้ว ซึ่งถ้าเราเอาจริง…ผมว่าประเทศไทยเรื่อง “การให้” ไม่แพ้ใครในภูมิภาค.