นับเป็นอีกหนึ่งสาวมากความสามารถกับเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์เลย สำหรับ “นท พนายางกูร” หรือ “นท เดอะสตาร์” ที่ล่าสุดได้เผยเรื่องราวของเธอผ่านรายการ “ป๋าเต็ดทอล์ก” โดยเล่าเรื่องราวของเธอตั้งแต่เด็กจนวันที่เธอประสบความสำเร็จได้เป็นนักร้องในบ้านเดอะสตาร์ แต่ชีวิตหลังจากมีชื่อเสียงกลับไม่ได้เป็นแบบที่สาวนทวาดไว้ เจอทั้งสต็อกเกอร์และคนพยายามทำของใส่จนทำให้กลายเป็นคนเก็บตัว

นท เผยว่า “หลังจากประกวดเดอะสตาร์จบ เรากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากขึ้นมันก็จะมีคนหลายประเภทที่เข้าหาเรา ทั้งประเภทที่ดีและประเภทที่แปลกด้วยความที่เราเป็นคนที่แปลก เราก็จะดึงดูดเจอคนแปลกๆ มาเยอะ ซึ่งเราได้เจออะไรแปลกๆ ที่คนในวัยเดียวกับเรา ยังไม่ได้เจอมีทั้งสต๊อกเกอร์และคนที่พยายามเล่นของใส่ มีแบบมานอนเฝ้าหลังบ้าน จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปงานแล้วอยู่ดีๆ ก็มีแฟนคลับเดินมาเตือนว่าระวังให้อย่ากินน้ำที่มีคนเอามาให้ในวันนี้เด็ดขาด เขาบอกว่ามีคนหนึ่งเอาน้ำมาเขาบอกว่าเป็นน้ำบริวาร 7 แก้ว มีดอกไม้มีอะไรมาแบบนี้ แล้วอีกความทรงจำหนึ่งคือนทเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพคนเดียว จำได้ว่าเวลาที่ไปทำงานก็จะนั่ง MRT มันจะมีอยู่โมเมนต์หนึ่งที่เรารู้สึกว่ามีคนตามเรามา เป็นสต๊อกเกอร์ซึ่งเราก็พยายามจะหนี แล้วเหมือนในหนังอินเดียเลยค่ะที่วิ่งหนีหลบหลังเสา ตอนนั้นอายุแค่ 17 เอง ก็น่ากลัวอยู่นะสำหรับเด็กคนนึง”

“ส่วนในเรื่องของเพลงมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้มันเป็น แต่นทเข้าใจเพราะมันคือระบบบริษัทใหญ่ เราต้องทำงานกับคนอีกเป็นร้อย ซึ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเพลงเรามันฮิตเขาก็มีเงินไปเลี้ยงคนที่บ้าน ถ้าเพลงเรามันไม่ฮิต เขาก็ไม่มี ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจในจุดนี้ เราต้องทำในสิ่งที่มันจะขายได้ เราเป็นแค่ศิลปินไม่ได้เราต้องเป็นสินค้า ที่มันขายได้ด้วย ซึ่งตอนนั้นเราไม่เข้าใจ เพิ่งมาเข้าใจตอนนี้ ตอนนั้นก็เด็กน้อยแหละ เราโตมาในสังคมที่ชินกับการเสนอความคิดเห็นของตัวเองได้ตลอด เวลาเราก็เสนอไปเราอยู่ในระบบที่ต้องเคารพผู้ใหญ่ มันก็ไม่ได้เป็นตามที่คิดไว้ ต้องขอโทษผู้ใหญ่เหล่านั้นด้วย ที่เราทำงานด้วยได้ยากมาก สมมติมีเด็ก 10 คน นทจะเป็นคนนึงที่มีคำถามเยอะมาก ซึ่งมันอาจจะเพิ่มความยากให้เขา”

“นทเป็นคนที่รู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร เรารู้ว่าเราจะเปล่งประกายที่สุดตอนที่เราทำในสิ่งที่เราอยากทำ ได้เป็นตัวของตัวเอง ถ้าเราทำอะไรที่มันไม่เป็นตัวเอง มันจะทำได้ไม่ดีแล้วมันก็จะดรอป พอฝืนไปก็ทำให้แพชชั่นของเราค่อยๆลดน้อยลง จนกระทั่งถึงวันที่หายไปหมดเลย จนนทไม่รู้ว่าเป็นใคร จำได้ว่าโมเมนต์ที่เบรกดาวน์จริงๆคือ ตอนที่จะต้องไปทำงาน แต่เรายังอยู่ในสนามรักบี้ กำลังวิ่งอย่างสนุกอยู่ในการแข่งขัน อยู่ดีๆ มีคนบอกว่าเราต้องไปทำงาน ตอนนั้นเราร้องไห้ในสนามรักบี้หนักมาก จนไม่อยากเป็นแล้วนักร้อง เราอยากเล่นรักบี้ ร้องไปเรื่อยๆ จนคอนโทรลตัวเองไม่ได้  แล้วก็รู้ตัวว่าทำงานได้ไม่ดีขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ เบรนเอาท์ เพราะเราต้องร้องเพลงในอีกแบบหนึ่ง จากที่เราเคยรักเคยชอบในเสียงเราที่เป็นแบบนี้ พอเปลี่ยนวิธีการร้อง เสียงที่เคยเป็นเสียงของเรามันก็เลยหายไป เราก็เลยกลัวการเสียงตัวเองไปเลย”

ขอบคุณภาพประกอบจาก :notep