สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ว่า นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ประชากรหลายล้านคนที่ต้องอาศัยน้ำ ซึ่งละลายมาจากหิมะบนเทือกเขาหิมาลัย จะเผชิญกับความเสี่ยงที่ “ร้ายแรงมาก” จากการขาดแคลนน้ำในปีนี้ เนื่องจากหิมะตกน้อยที่สุดครั้งหนึ่ง

ธารน้ำแข็งที่ละลายเป็น 1 ใน 4 ของแหล่งน้ำทั้งหมดในลุ่มแม่น้ำหลัก 12 แห่ง ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาหิมาลัย “นี่เป็นการแจ้งเตือนแก่นักวิจัย, ผู้กำหนดนโยบาย และชุมชนปลายน้ำ” นายเชอร์ มูฮัมหมัด จากศูนย์ระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาภูเขาแบบบูรณาการ กล่าว “จำนวนหิมะสะสมที่ลดลงและระดับของหิมะที่ผันผวน ส่งผลต่อความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะปีนี้” เนื่องจากหิมะและน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัย เป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับผู้คนประมาณ 240 ล้านคนในพื้นที่ และอีกประมาณ 1,650 ล้านคนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับแม่น้ำ ที่ไหลผ่านจากหุบเขาลงสู่เบื้องล่าง

แม้ระดับหิมะจะผันผวนในแต่ละปี แต่นักวิทยาศาสตร์มองว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้ปริมาณน้ำฝนที่ไม่แน่นอน และรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และการคงอยู่ของหิมะบนพื้นต่ำกว่าปกติร้อยละ 18.5 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดเป็นอันดับ 2 ในรอบ 22 ปีที่ผ่านมา เป็นรองเพียงสถิติปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 19

นอกจากเนปาล องค์กรไอซีไอเอ็มโอดียังร่วมมือกับรัฐบาลประเทศอื่น ๆ อาทิ อัฟกานิสถาน, บังกลาเทศ, ภูฏาน, จีน, อินเดีย, เมียนมา และปากีสถาน ล้วนเตือนว่า การสังเกตการณ์และคาดการณ์ มีข้อบ่งชี้ถึง “การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านเวลาและความเข้มข้นของกระแสน้ำ” โดยมีหิมะเป็นส่วนสำคัญในการรับรองว่ามีน้ำเพียงพอตามฤดูกาลหรือไม่

มากไปกว่านั้น มีการเตือนว่า สถานการณ์ปีนี้มีความเลวร้ายมากที่สุดครั้งหนึ่ง รวมไปถึงในประเทศสมาชิก ซึ่งไอซีไอเอ็มโอดีได้ทำการสำรวจ อาทิ ลุ่มแม่น้ำคงคาในอินเดีย มีหิมะสะสมต่ำกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 17, ลุ่มแม่น้ำเฮลมันด์ในอัฟกานิสถาน ที่ร้อยละ 32 และลุ่มแม่น้ำสินธุร้อยละ 23

ขณะที่ลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร ซึ่งสิ้นสุดในบังกลาเทศ มีหิมะต่ำกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัดถึงร้อยละ 15 นางมิเรียม แจ็กสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำแข็งบนโลก หรือหิมะภาค เรียกร้องให้รัฐบาลของทุกประเทศ “ใช้มาตรการเชิงรุก” เพื่อแก้ไขสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้น.

เครดิตภาพ : AFP