จากกรณีที่ นายไพโรจน์ รัตนรัตน์ สมาชิกสภาเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช เขต อ.ปากพนัง ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ จ.นครศรีธรรมราช เร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ “ปลาหมอสีคางดำ” หรือที่รู้จักกันในนาม “ปลาหมอคางดำ” ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็น “เอเลี่ยนสปีชีส์” หรือสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและทำลายสัตว์น้ำประจำถิ่น ตามแหล่งน้ำธรรมชาติหรือบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร ก่อนหน้านี้มีรายงานพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ สร้างปัญหาใน 13 จังหวัดของไทย ประกอบด้วย กรุงเทพฯ สมุทรสงคราม ระยอง ราชบุรี จันทบุรี เพชรบุรี ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ ชุมพร สมุทรสาคร สุราษฎร์ธานี สงขลา และล่าสุดแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นเป็นจังหวัดที่ 14 คือ จ.นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะ 2 อำเภอ คือ อ.ปากพนัง และ อ.หัวไทร ก่อนที่จะลุกลามขยายวงกว้างออกไปทั่วจังหวัดรวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงจนทำให้การแก้ปัญหายากมากยิ่งขึ้น นั้น
ระบาดลงใต้! “ปลาหมอคางดำ” เอเลี่ยนสปีชีส์ สร้างปัญหาใหญ่ใน 14 จังหวัด
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. นายไพโรจน์ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทางสำนักงานประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้นำปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เข้าสู่การประชุมคณะทำงานฯ ในระดับจังหวัดตามคำสั่งของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และตนได้นำเสนอมาตรการเร่งด่วน อาทิ ให้จังหวัดประกาศเขตภัยพิบัติ โดยแบ่งพื้นที่สีแดง ซึ่งเป็นพื้นที่แพร่ระบาดอย่างหนัก สีเหลืองแพร่ระบาดเล็กน้อย และเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง ให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับเกษตรกร และห้ามผู้ใดเลี้ยงขยายพันธุ์อย่างเด็ดขาด ให้จัดชุดไล่ล่าจับปลาหมอคางดำอย่างจริงจังต่อเนื่องและให้ตั้งจุดรับซื้อ 6 จุด อ.ปากพนัง 3 จุด อ.หัวไทร 3 จุด จะรับซื้อแบบคละไซซ์กิโลกรัมละ 15 บาท เพื่อบริโภคและทำลายโดยส่งขายโรงงานปลาป่น ซึ่งในที่ประชุมเห็นด้วยและมีมติให้เร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป แต่เอาเข้าจริงทางราชการกลับตั้งจุดรับซื้อแค่กิโลกรัมละ 10 บาทเท่านั้น จึงไม่สร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนที่จะออกมาไล่ล่าจับปลาหมอคางดำกันมากนัก ในขณะที่เอกชนรับซื้อกิโลกรัมละ 20 บาท แต่คัดเอาเฉพาะขนาดใหญ่เท่านั้น
นอกจากนี้กรมประมงออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยง มีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 มี.ค. 61 ที่ผ่านมา สำหรับสัตว์น้ำ 3 ชนิด 1.ปลาหมอคางดำ 2.ปลาหมอมายัน 3.ปลาหมอบัตเตอร์ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมประมง หรือผู้ที่อธิบดีกรมประมงมอบหมาย ซึ่งมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งกรณีมีการแอบนำไปปล่อยในแหล่งน้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยปลาหมอคางดํา หรือ Blackchin tilapia จัดอยู่ในวงศ์ Cichlidae (ซิคลิเด) เช่นเดียวกับปลาหมอเทศ และปลาหมอสี ปลาชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่น้ำกร่อยปากแม่น้ำ สามารถทนทานความเค็มได้สูง พวกมันจึงพบแพร่กระจายตลอดแนวชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป ที่ผ่านมา พบการนําเข้าพันธุ์ปลาหมอคางดําในหลายประเทศ ทั้งอเมริกา ยุโรป เอเชีย และพบมีรายงานการเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นรุกรานในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และฟิลิปปินส์
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ระบุ เมื่อปี 49 คณะกรรมการด้านความหลากหลายและความปลอดภัยทางชีวภาพของกรมประมง (IBC) มีมติอนุญาตให้บริษัทเอกชนนำเข้าปลาหมอคางดำจากสาธารณรัฐกานา ทวีปแอฟริกา เพื่อนำมาปรับปรุงสายพันธุ์ปลานิลแบบมีเงื่อนไข จนต่อมาปี 2553 มีการนำเข้าปลาหมอคางดำจำนวน 2,000 ตัว มาเพาะเลี้ยงในศูนย์ทดลอง ในพื้นที่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม แต่อ้างว่าได้มีการทำลายปลาหมอคางดำทั้ง 2,000 ตัวไปหมดแล้ว ตามเอกสารหลักฐานยืนยันของกรมประมง
ปลาหมอคางดำ เป็นปลาต้องห้าม มันคือ Alien Species หรือสายพันธุ์รุกรานต่างถิ่น ที่มีทั้งความอึด ทนทาน โตเร็ว และที่สำคัญยังอยู่ได้ในทุกแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะน้ำจืด น้ำกร่อย หรือน้ำเค็ม นั่นทำให้มันสามารถกระจายตัวไปในแหล่งน้ำธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว โดยก่อนหน้านี้กลับพบว่ามีการแพร่กระจายอยู่ในกว่า 13 จังหวัดของไทย โดยพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำพบครั้งแรก ในปี 55 เกษตรกรในพื้นที่ ต.ยี่สาร ต.แพรกหนามแดง และ ต.คลองโคลน จ.สมุทรสงคราม ได้พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จากนั้นพบแพร่ระบาดไปยังแม่น้ำประแสร์ จ.ระยอง และในเขตภาคใต้คือ จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.ชุมพร ส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยของสัตว์น้ำพื้นถิ่นและระบบนิเวศแหล่งน้ำ และรายงานก่อนหน้านี้พบการระบาดของปลาหมอคางดำไกลไปถึงพื้นที่ จ.สงขลา บริเวณคลองแดน อ.ระโนด ชาวบ้านในพื้นที่ระบุว่า เริ่มเจอครั้งแรกเมื่อราวๆ 2 ปีก่อน แต่เรียกกันว่าปลานิลแก้มดำ จนล่าสุดพบแพร่ระบาดหนักในจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดที่ 14 ของประเทศไทย
ปลาหมอคางดำเป็นปลานักกิน มันกินทั้งพืช สัตว์ และแพลงก์ตอน ลูกปลา ลูกหอยสองฝา รวมถึงซากของสิ่งมีชีวิต ที่สำคัญยังมีลำไส้ที่ยาวกว่าลำตัวถึง 4 เท่า และยังมีระบบย่อยอาหารที่ดี ทำให้มีความต้องการอาหารตลอดเวลา บวกกับนิสัยที่ค่อนข้างดุร้าย การมีอยู่ของปลาหมอคางดำจึงส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ร่วมลำน้ำ ลักษณะของปลาหมอคางดำ คือ ทนต่อความเค็มได้สูง จึงพบได้ทั้งในน้ำจืด บริเวณปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อย ป่าชายเลน และในทะเล ขนาดตัวโตเต็มวัย ลําตัวยาวถึง 8 นิ้ว เพศผู้จะมีสีดําบริเวณหัวและบริเวณแผ่นปิดเหงือก มากกว่าเพศเมีย สามารถผสมพันธุ์ทุกๆ 22 วัน วางไข่ได้ทั้งปี แม่ปลา 1 ตัว สามารถให้ไข่ได้ประมาณ 150–300 ฟอง การฟักไข่และดูแลตัวอ่อนจะอยู่ในปากปลาเพศผู้ โดยไข่จะใช้เวลาฟักประมาณ 4-6 วัน และพ่อปลาจะดูแลลูกปลา โดยการอมไว้ในปากนาน ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ในปัจจุบันปลาหมอคางดำ กลายเป็นภัยคุกคามสัตว์น้ำพื้นถิ่น ทำให้ความหลากหลายของสัตว์น้ำวัยอ่อนลดลง อีกทั้งยังขาดผู้ล่าในห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในภาพรวมอย่างรุนแรง
ปัจจุบันในหลายพื้นที่แม้จะมีปลาหมอคางดำจะมีจำนวนมากในแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่คนไม่นิยมนำไปรับประทาน เพราะเนื้อบาง ก้างเยอะและกินไม่อร่อย จึงมักขายไม่ได้ราคา ในสายตาของเกษตรกร ปลาหมอคางดำคือผู้ร้ายที่รุกรานผลผลิตด้านการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นั่นเพราะรายได้จากการลงทุนลงแรงต้องสูญหายไป หากเทียบราคาสัตว์น้ำที่ปลาหมอคางดำทำลาย กุ้งขาว 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 120-170 บาท (แล้วแต่ขนาด) กุ้งก้ามกราม 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 160-350 บาท (แล้วแต่ขนาด) ปลานิล 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 60 บาท ในขณะที่ปลาหมอคางดำราคากิโลกรัมละ 5-10 บาทเท่านั้น.