สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ว่า ศ.ไมเคิล โดลสเทน ประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์ของไฟเซอร์ หนึ่งในผู้ผลิตด้านเภสัชภัณฑ์และชีวเภสัชภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี ว่าบริษัทมีแผนยื่นเอกสารต่อคณะกรรมการอาหารและยา ( เอฟดีเอ ) เพื่อขอให้มีการพิจารณาอนุมัติการใช้งานวัคซีน "เข็มที่สาม"  เพื่อกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคโควิด-19 
ทั้งนี้ ศ.โดลสเทนอ้างอิงข้อมูลจากผลการวิจัยภายในของไฟเซอร์เอง ว่าการฉีดเข็มที่สาม หรือ "บูสเตอร์" สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอีก 5-10 เท่า และการเสนอเรื่องต่อเอฟดีเอจะเกิดขึ้นภายในเดือน ส.ค.นี้
ขณะเดียวกัน ศ.โดลสเทนให้ความเห็นต่อรายงานของกระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอล ซึ่งระบุว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบเอ็มอาร์เอ็นเอ ที่ไฟเซอร์พัฒนาร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทคของเยอรมนี "มีประสิทธิภาพลดลง" ต่อเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์เดลตา ว่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ได้รับวัคซีนระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ. ที่ผ่านมา
ศ.โดลสเทนยืนยันว่า วัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค "มีประสิทธิภาพสูง" ต่อเชื้อเดลตา อย่างไรก็ตาม หลังรับวัคซีนผ่านไปแล้ว 6 เดือน "มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ" เนื่องจากระดับแอนติบอดีลดลง โดย ศ.โดลสเทนยอมรับว่า เชื้อเดลตาเป็นสายพันธุ์ย่อยของเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งมีความรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยพบในเวลานี้  แต่ยังคงยืนยันว่า วัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค สามารถปกป้องกันอาการป่วยหนักได้ประมาณ 95% ต่อเชื้อไวรัสโคโรนาทุกสายพันธุ์
อย่างไรก็ดี ในเวลาไล่เลี่ยกัน เอฟดีเอออกแถลงการณ์ร่วมกับศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ( ซีดีซี ) ว่าประชาชนซึ่งรับวัคซีนครบแล้ว "ยังไม่มีความจำเป็น" ต้องเข้ารับการฉีดกระตุ้น แต่พร้อมดำเนินการ หากผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่า "ต้องดำเนินการ".

เครดิตภาพ : AP