ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์ได้ปล่อยก๊าซมีเทนออกสู่ชั้นบรรยากาศ มากกว่า 3 พันล้านตัน หากลดการปล่อยก๊าซดังกล่าวภายในหนึ่งหรือสองทศวรรษจะช่วยลดอุณหภูมิโลกได้ถึง 0.5 องศาเซลเซียส ดังนั้น หากสามารถยับยั้งการปล่อยมีเทนทั้งหมดจากการทำกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ได้ ปริมาณความเข้มข้นของก๊าซดังกล่าวจะต่ำลงได้เทียบเท่ากับโลกในช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม หากโลกยังคงร้อนขึ้นเรื่อยๆ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เรายังต้องแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซมีเทนจากธรรมชาติที่สูงขึ้น ทั้งจากพื้นที่ชุ่มน้ำเขตในร้อนที่อุ่นขึ้น และการละลายของชั้นดินเยือกแข็งในอาร์กติก การปล่อยก๊าซมีเทนตามธรรมชาติระดับสูงสุดมาจากพื้นที่ชุ่มน้ำและป่าที่ถูกน้ำท่วมตามฤดูกาลในเขตร้อน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น ชื้น และมีออกซิเจนต่ำ เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ปล่อยก๊าซมีเทน
‘ร็อบ แจ็คสัน’ นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เมื่อเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว เขาได้เดินทางไปที่เขตอนุรักษ์ ‘มามิราอูอา’ (Mamirauá) ในป่าอเมซอนของบราซิล ซึ่งเป็นช่วงที่ปรากฏการณ์เอลนีโญกําลังทวีความรุนแรงขึ้น และมหาสมุทรแอตแลนติกเขตร้อนก็ร้อนจัด โดยอุณหภูมิของมหาสมุทรนอกชายฝั่งฟลอริดานั้นเกือบแตะ 40 องศาเซลเซียส หรือ 104 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับอุณหภูมิจากอ่างน้ำร้อนเดือดๆ อุณหภูมิที่แนะนำสำหรับการทำให้ปลาแซลมอนสุก และอุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรสูงสุดที่วัดได้
“น้ำทะเลที่อุ่นในมหาสมุทรแอตแลนติกเขตร้อนมักทำให้เกิดภัยแล้งในอเมซอน ‘อายัน ฟลีชมันน์’ เจ้าบ้านชาวบราซิล ซึ่งเป็นผู้อำนวยการด้านการวิจัยสภาพอากาศที่นั่น เขาบอกกับผมว่าภัยแล้งอาจกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ระดับน้ำที่สถานีตรวจวัดในเมืองตาบาทิงกา ประเทศบราซิล ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรทางตอนเหนือของแม่น้ำนั้นอยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดของป่าแอมะซอนเกิดขึ้นในปีที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งน้ำทะเลในมหาสมุทรแอตแลนติกมีอุณหภูมิสูงขึ้น” แจ็คสัน กล่าว
พื้นที่ทางทะเลที่สำคัญคือแถบที่ทอดยาวจากเส้นศูนย์สูตร ไปจนถึงคิวบาและฟลอริดาทางตอนใต้ ภัยแล้งรุนแรงที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญในปี 2015–2016 ส่งผลให้อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ต้นไม้ตายไปหลายพันล้านต้นจากไฟป่าที่โหมกระหน่ำ และเปลี่ยนป่าแอมะซอนจากที่เคยเปรียบเสมือนฟองน้ำดูดซับคาร์บอนฯ ของทั่วโลกให้กลายเป็นแหล่งคาร์บอนขนาดใหญ่
คำกล่าวเตือนของฟลีชมันน์นั้นมีความเฉียบแหลมและแม่นยำเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่าน เพียงสองเดือนหลังจากที่แจ็คสันกลับ พื้นที่ดังกล่าวก็ได้เผชิญกับภัยแล้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ระดับน้ำในระบบอเมซอนต่ำกว่าครั้งใดๆ นับตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำบันทึกเมื่อกว่าศตวรรษก่อน
“วิฤตอันเลวร้ายที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้เห็นการปะทะกันของ 2 ปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์แรกคือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่าเอลนีโญ และอีกปรากฏการณ์หนึ่งคือปรากฏการณ์ที่มนุษย์เป็นผู้ก่อให้เกิด นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก” ‘มารินา ซิลวา’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศบราซิล กล่าว
อุณหภูมิรอบๆ มามิราอูอา สูงกว่า 40 องศาเซลเซียสเป็นเวลาหลายวัน ประกอบกับการที่ไม่มีฝนและเมฆน้อย จึงทำให้ผืนน้ำของอเมซอนได้รับแสงแดดโดยตรง ส่งผลต่อไปยังอุณหภูมิของน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 40 องศาเซลเซียสที่ระดับความลึก 3-6 ฟุตใต้น้ำ ในทะเลสาบเทเฟ ซึ่งเป็นประตูสู่แม่น้ำอเมซอนตะวันตก
“ไม่มีใครเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็นและอากาศร้อนมาก ผมเห็นซากปลาโลมาแม่น้ำกว่า 70 ตัวอยู่ที่ริมทะเลสาบ และยังเห็นอีกส่วนหนึ่งว่ายน้ำเป็นวงกลม เพราะพวกมันกำลังพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด มันแย่มาก ผมไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร หรือจะช่วยพวกมันได้อย่างไร ไม่เพียงแต่ที่อากาศร้อนและแห้งแล้งเท่านั้น แต่ยังมีไฟป่าลุกไหม้มากกว่า 7,000 จุดโหมกระหน่ำทั่วรัฐอามาโซนัส” ‘อายัน ฟลีชมันน์’ ผู้อำนวยการด้านการวิจัยสภาพอากาศ ประเทศบราซิล กล่าว
ผู้คนโดยรอบก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน ‘ชาวริเบรินโญ’ จำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในชุมชนริมแม่น้ำ ไม่สามารถไปโรงพยาบาล หรือหาอาหารและน้ำได้ เนื่องจากระดับน้ำต่ำเกินไปสำหรับการเดินทางโดยเรือ สอดคล้องกับภาพข่าวอันสิ้นหวังในช่วงเวลาดังกล่าว ที่แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านกำลังขุดบ่อน้ำด้วยมือ เพื่อหาน้ำดื่มในแม่น้ำที่แห้งขอด
อย่างไรก็ตาม แอ่งน้ำเขตร้อน เช่น แอ่งอเมซอนและคองโก ไม่ใช่พื้นที่ธรรมชาติเพียงแห่งเดียวที่เราต้องกังวลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซมีเทน ทุ่งทุนดราและป่าพรุในอาร์กติกก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ‘พีต’ (แหล่งสะสมของซากพืชตกค้าง ที่แปรสภาพไปสู่การเน่าสลายตัว) ที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์ สามารถก่อตัวในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำและมีน้ำขัง ซึ่งการย่อยสลายของจุลินทรีย์ไม่สามารถรักษาการเจริญเติบโตของพืชใหม่ได้ ทั้งยังมีงานวิจัยของ ‘กุสตาฟ ฮูเกลิอุส’ นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน ที่ได้ประมาณการว่า ป่าพรุทางตอนเหนือได้สะสมคาร์บอนไว้อย่างน้อย 400 พันล้านตัน นับตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย ซึ่งเทียบเท่ากับเกือบครึ่งหนึ่งของคาร์บอนทั้งหมดที่ชั้นบรรยากาศของเรามีอยู่ในปัจจุบัน
หากชั้นดินเยือกแข็งละลาย ดินในอาร์กติกและเขตเหนือมีความอุ่นขึ้น คาร์บอนในพีตอาจสามารถเข้าถึงชั้นบรรยากาศในรูปแบบของคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านไฟป่าพีท หรือผ่านการสลายตัวของจุลินทรีย์ หรืออีกทางหนึ่ง หากพื้นที่ป่าพรุที่ละลายกลายเป็นหนองน้ำ จุลินทรีย์อาจปล่อยคาร์บอนในรูปของก๊าซมีเทนออกมาจำนวนมาก ซึ่งทั้งสองกรณีถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายต่อสภาพอากาศของโลกอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่า ณ ตอนนี้ มันอาจกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างช้าๆ หรืออาจเริ่มมาได้สักระยะแล้ว และในที่สุดวันหนึ่งมันก็จะเดินทางไปถึงจุดไคลแม็กซ์
เมื่อมองย้อนกลับมามองสิ่งใกล้ตัวที่เราสามารถทำได้ง่ายๆ การเปลี่ยนอุปกรณ์ในการทำพลังงานต่างๆ ภายในบ้าน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการลดการปล่อยก๊าซมีเทน อาทิ การเปลี่ยนมาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือมลพิษภายในอาคาร อย่างการใช้เตาแม่เหล็กความร้อน ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเตาแก๊ส 2-3 เท่า เนื่องจาก ‘เตาแก๊ส’ เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทน จากการศึกษาเกี่ยวกับเตาแก๊สในสหรัฐอเมริกา พบว่า สามในสี่ของการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดถูกปล่อยออกมาในขณะที่เตาปิดอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากท่อและข้อต่อที่รั่ว อีกทั้งปริมาณก๊าซมีเทนที่ทำลายสภาพอากาศนั้น ยังเท่ากับปริมาณการปล่อยมลพิษของรถยนต์ครึ่งล้านคันต่อปี
นอกจากเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องมือต่างๆ ในการทำพลังงานแล้ว การเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้ เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว ‘วัว’ หนึ่งตัว จะเรอก๊าซมีเทนออกมาในปริมาณเท่ากับอ่างอาบน้ำ 1 อ่างต่อวัน หรือประมาณ 100 กิโลกรัมต่อปี ยิ่งไปกว่านั้น มูลของวัวจากทั่วโลกซึ่งมีจำนวนมากกว่าพันล้านตัว ยังปล่อยก๊าซมีเทนออกมามากกว่าอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของโลก ฉะนั้นการบริโภคเนื้อวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวให้น้อยลง จึงนับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ชาญฉลาดในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการลดก๊าซมีเทนเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม
ขอบคุณข้อมูลจาก: The Guardian