“มองไกล เห็นใกล้” สัปดาห์นี้อุตส่าห์ตั้งตารอฟังแถลงการณ์จากปาก “ลุงตู่” ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ก็พลันคิดมโนไปไกลว่าอาจเป็นการแถลง “ลาออก” จากตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ก็ “ยุบสภา” แต่ที่ไหนได้ “ลุงตู่” ใช้เวลาประมาณ 15 นาที กล่าวเดินหน้าเปิดประเทศ เล่นเอาบรรดา “กองแช่ง” ทั้งหลายผิดหวังไปตามๆ กัน

ใจความสำคัญคือการประกาศเปิดประเทศตามเป้าหมาย 120 วัน คือภายในวันที่ 1 พ.ย.64 จะเปิดรับนักท่องเที่ยวจากประเทศความเสี่ยงต่ำโดยไม่ต้องกักตัว พร้อมเงื่อนไขว่านักท่องเที่ยวต้องฉีดวัคซีนครบโด๊ส มีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ นอกจากนี้ส่งสัญญาณ “คลายล็อก” เตรียมพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร และเปิดสถานบันเทิงได้วันที่ 1 ธ.ค.64

เน้นย้ำความสำเร็จในการรับมือกับโควิด-19 อย่างรวดเร็ว และปกป้องชีวิตประชาชน

แน่นอนว่าหลังแถลงการณ์มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะถือเป็นเดิมพันครั้งสำคัญของประเทศ ในห้วงวิกฤติโควิด-19 ยังไม่จบสิ้น ข้อกังวลเมื่อเปิดประเทศอาจทำให้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือไม่ อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อยังคงมีให้เห็น ขณะที่ “การฉีดวัคซีน” ที่เปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันหมู่ ยังไม่ตรงตามเป้า

หากดูตัวเลขภาพรวมผู้ที่ได้รับวัคซีนจะเห็นว่ายังมีผู้ฉีดวัคซีนครบโดสจำนวนไม่มาก หลายคนยังไม่ได้ฉีดวัคซีน “เข็มแรก” และไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ มีเพียง “ภูเก็ต” เท่านั้นที่ผู้ได้รับวัคซีนถึงร้อยละ 80 หากจะเปิดประเทศจริงตามที่ว่า ต้องเร่งฉีดให้กับคนในประเทศให้ได้มากที่สุด

เช่นเดียวกับความพร้อมของ “ระบบสาธารณสุขไทย” มีความพร้อมมากเพียงใด เพราะหากดูในถ้อยแถลงของ “ลุงตู่” ที่ระบุว่านักท่องเที่ยวจะต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย

หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจ RT-PCR ในไทย หากนักท่องเที่ยวมาวันละ 1 แสนคน บุคลากรทางการแพทย์จะรับมือไหวหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา การตรวจในประเทศก็ไม่เคยตรวจถึงจำนวนนี้ ขณะเดียวกันมาตรการเคอร์ฟิวควบคู่กับการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ “ลุงตู่” ยังคงสงวนท่าที ไม่ยกเลิกเสียที หากจะเปิดประเทศต้องแก้จุดนี้ให้ได้

แม้บางช่วงบางตอนในถ้อยแถลงจะนั่งยัน นอนยัน ว่าการตัดสินใจเปิดประเทศครั้งนี้ หากไม่ทำก็จะพลันเสียโอกาสในการดึงนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลวันหยุดสิ้นปี อีกทั้งให้พี่น้องประชาชนในภาคการท่องเที่ยวได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาบ้าง แน่นอนละว่าการเปิดประเทศ ฝ่ายเห็นด้วยส่วนใหญ่มองเรื่องปัญหาปากท้องเป็นหลัก เพราะตั้งแต่โควิด-19 ระบาด ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมต่างพากันเจ๊งไม่เป็นท่า หนี้สินล้นตัว

แต่ก็เอาเถอะที่กล่าวมานั้นใช่ว่าจะไม่เห็นด้วย…จะช้าจะเร็วยังไงก็ต้องเปิด (ประเทศ) แค่อยากจะฝากข้อห่วงใยไปถึง “รัฐบาลลุงตู่” ให้พลันฉุกคิดเตือนสติเสียหน่อย..!!!!

แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตจะลดลง แต่อุณหภูมิการเมืองไทยยังร้อนระอุ ม็อบป่วนรายวันยังคงมีให้เห็น การเปิดประเทศนั้นรัฐบาลควรพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ใช่สักจะเปิดก็เปิด สักจะปิดก็ปิด ตัวอย่างมีให้เห็นในหลายประเทศ เช็กความพร้อมให้ดีๆ ที่สำคัญคลายล็อกจากภายในให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตปกติก่อน ถึงครานั้นแล้วค่อยเปิดประเทศก็ยังไม่สาย ยังพอมีเวลา….ดีกว่าดันทุรังแล้วพังไม่เป็นท่า!!!!!

นายอัคคี