เมื่อเดือนมกราคม 2510 อัลเฟรด สวินสโก คุณพ่อลูกหกวัย 54 ปี ไปเที่ยวผับที่ชื่อว่าไมเนอร์ส อาร์มส์ ในหมู่บ้านพิงซ์ตัน มณฑลนอตทิงแฮมเชอร์ของอังกฤษ และไม่เคยกลับมาอีกเลย
ตอน 22.30 น. ของวันที่ สวินสโก หายตัวไป เขาบอกให้ลูกชายเลี้ยงเครื่องดื่มคนในผับ แล้วออกไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่นอกร้าน จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเขาอีก
ครอบครัวของเขาต้องรอนานถึงเกือบ 60 ปี กว่าจะพบศพของเขาเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ในทุ่งนาที่เมืองซัตตันอินแอชฟิลด์ เขตน็อตติงแฮมเชอร์
รัสเซลล์ โลว์บริดจ์ หลานของสวินสโกเล่าว่า ในตอนแรกเขาไม่ได้ให้ความสนใจข่าวนี้มากนัก จนกระทั่งตำรวจโพสต์ภาพของถุงเท้าเก่า ๆ คู่หนึ่ง ซึ่งทำให้เขาฉุกคิดถึงถุงเท้าของปู่ ที่เขาชอบเอามาสวมเล่นตอนเด็ก ๆ โดยดึงขอบถุงเท้าให้ยาวขึ้นมาจนถึงหัวเข่า
โลว์บริดจ์ โทรฯ หาตำรวจและเข้าไปที่สถานี เพื่อให้เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอและนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของศพ ซึ่งผลปรากฏว่าศพนั้นคือสวินสโกจริง ๆ
โลว์บริดจ์ กล่าวว่า หลังจากรู้ผล เขาตกตะลึงและช็อกมาก ยิ่งไปกว่านั้น ผลการชันสูตรยังบ่งชี้สวินสโกเสียชีวิตจากการฆาตกรรม มีร่องรอยการใช้วัตถุไร้คมทุบที่ศีรษะของเขา ขณะที่ช่วงขากรรไกรมีร่องรอยของบาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายด้วยของมีคม คาดว่าอาจจะเป็นคมของพลั่วขุดดิน และเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะโดนแทงในภายหลัง
เจ้าหน้าที่บอกโลว์บริดจ์ว่า ร่องรอยที่เหลืออยู่ของศพบ่งบอกว่า สวินสโกสู้สุดชีวิตกับฆาตกร เจ้าหน้าที่พบว่ากระดูกมือของเขาหักเหมือนเกิดจากการชกใครบางคนอย่างสุดแรง
นอกจากนี้ยังพบว่าร่องรอยการทำร้ายที่บริเวณซี่โครงและหลังของสวินสโก เหมือนกับโดนต่อยเข้าที่ซี่โครงระหว่างที่เขากำลังยื้อยุดอยู่กับคู่ต่อสู้
ตำรวจที่สืบสวนเชื่อว่าร่างของสวินสโก ถูกทิ้งไว้ที่อื่นเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะนำศพมาฝังไว้ที่จุดที่เจอศพ เนื่องจากมีชิ้นส่วนของนิ้วและซี่โครงที่หายไป เหมือนกับโดนสัตว์ป่ามาแทะกินไปก่อน และฆาตกรที่ลงมือมีเจตนาจะซ่อนศพของเขาไว้ ไม่ให้มีใครมาพบตลอดกาล
ในเดือนมกราคมปีนี้ ศพของสวินสโกก็ได้รับการฝังอย่างถูกต้อง ที่สุสานซัตตันอินแอชฟิลด์ มีผู้ร่วมพิธีฝังคือลูกชาย, ลูกสาวและภรรยาของเขา ซึ่งไม่เคยแต่งงานใหม่หลังจากที่สวินสโกหายตัวไป
ผู้ช่วยหัวหน้าตำรวจ ร็อบ กริฟฟิน แห่งหน่วยตำรวจเขตน็อตติงแฮมเชอร์ กล่าวว่า สวินสโกเสียชีวิตอย่างโหดร้าย เขาไม่เพียงโดนทำร้ายอย่างแสนสาหัส แต่ศพของเขายังโดนฝังอยู่ในทุ่งนา เพื่อไม่ให้มีคนมาพบร่างของเขา และที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือครอบครัวของเขาต้องรอมากกว่าครึ่งศตวรรษ กว่าจะมีผู้พบศพและส่งร่างกลับไปหาครอบครัวอันเป็นที่รักของเขาเพื่อทำพิธีฝังอย่างถูกต้อง
กริฟฟิน กล่าวว่า แม้ว่าครอบครัวของสวินสโกจะโล่งใจที่ในที่สุดพวกเขาก็พบตัวผู้เป็นพ่อและสามี แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องสืบสวนต่อ โดยเฉพาะรายละเอียดของเหตุการณ์ในคืนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และอะไรคือแรงจูงใจของฆาตกร
กริฟฟิน ยังกล่าวว่า แม้ว่าบุคคลที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ของคืนที่สวินสโกหายตัวไปหรือรู้จักเขา อาจจะเสียชีวิตกันไปแล้วหลายคน และทางตำรวจก็อาจจะไม่มีทางสืบหาข้อมูลได้ครบถ้วน แต่เจ้าหน้าที่ก็จะยังคงดำเนินการสืบสวนต่อไปจากเบาะแสทุกอย่างที่มีอยู่ เพื่อหาตัวฆาตกรให้พบ
ที่มาและเครดิตภาพ : ladbible.com