ยังคงเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ที่หลายคนสนใจติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับการเสียชีวิตของผู้กำกับและศิลปินแห่งชาติคนดัง “ฉลอง ภักดีวิจิตร” ในวัย 93 ปี จากอาการปอดติดเชื้อ ซึ่งสร้างความเสียใจและอาลัยให้กับคนในและนอกวงการบันเทิงอย่างมากมาย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดได้มีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพของฉลอง ภักดีวิจิตร ที่ศาลา 10 วัดมกุฎกษัตริยารามราชวรวิหารแขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร วันนี้(14 ก.ย.) ซึ่งพระเอกคู่บุญของฉลองอย่าง “เอก รังสิโรจน์” ได้เปิดเผยความรู้สึกว่า
“กระทันหัน ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าคุณอาป่วย อายุคุณอาเยอะแล้ว แต่เราเชื่อในความแข็งแรงของคุณอาโดยตลอด ยังไงมันก็ยังรู้สึกไวไปสำหรับพวกเราทุกคน ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอน่าจะประมาณเดือนที่แล้ว รอบแรกที่ไปเยี่ยมยังหนักอยู่ ส่วนรอบสุดท้ายดีขึ้นเป็นลำดับ จนรอบล่าสุดที่ไปเยี่ยม เราชมว่าคุณอาดูสดใสขึ้นนะก่อนที่เราจะขอตัวกลับ ตอนที่ท่านอยู่ที่บ้าน เราก็รอคุณอาเดินมาถึงประตู คุณอามายืนอยู่ข้างหลังเรา พยาบาลบอกว่าคุณอาอยากทำให้ลูกศิษย์เห็นว่าคุณอายังแข็งแรงขึ้นแล้ว ลูกศิษย์ไม่ต้องเป็นห่วงคุณอาลุกเดินได้จากที่เห็นคุณอานอนเตียงมาหลายเดือน ก็รู้สึกผูกพันทำงานมาด้วยกันร่วม 20 ปี ทุกภาพยังอยู่ในความทรงจำ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ได้เล่นละคร ก้าวแรกที่เดินไปหาคุณอาและขอเล่นละครบู๊กับคุณอา ผมยังจำได้ทุกคำ คุณอาบอกถามเล่นกล้ามหรือเปล่า ต้องมีกล้ามผู้ร้ายมา 40 50 ตายหมด ผมยังจำได้ก็บอกว่าผมเล่นกล้ามจากนั้นสองอาทิตย์ คุณอาก็ให้เข้าไปคุย โชคดีของผมที่จำได้ทุกเหตุการณ์ ที่คุณอากับผมได้พูดคุยกัน ผมไม่ค่อยคุยเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องเล่นๆหรือสนิทสนมกับคุณอา ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงาน ไม่ถูกด่า ก็บอกให้ทำอะไร ไม่จำเป็นผมก็จะไม่ค่อยคุยเล่นกับคุณอา คุณอาเป็นต้นแบบในทุกๆเรื่องโดยเฉพาะงานกำกับ ผมว่าแบบฉบับของคุณอาคงจะหาดูไม่ได้แล้ว คุณอาจะมีความใส่ใจกับสิ่งที่จะไปถึงสายตาของประชาชนมากที่สุด ไม่คำนึงถึงอย่างอื่นเลย ไม่รับเรื่องอื่นในกองถ่าย ท่านจะสนใจแต่ตรงหน้าฉากว่าสมบูรณ์แค่ไหน สมจริงแค่ไหน ได้ทุ่มเทพอหรือยัง ตรงนั้นมันผลักดันให้นักแสดงทุกคนรับภาระที่จะต้องตั้งใจตามไปด้วย เป้ที่เราแบกไม่ได้มีแค่หนังสือพิมพ์ แต่เป็นของหนักที่อัดไว้อยู่จริงๆ ทุกอย่างเพื่อความสมจริงทั้งหมดท่านอ่านออกว่ามันไม่หนักจริง ดูจากสีหน้ารู้ว่าพวกเราสบาย เขาก็จะบอกว่าไม่เอาถ่ายใหม่เอาของมายัดให้มันหนักจริงๆ เราก็จะรู้ชะตากรรมว่าจะเจออะไร ท่านได้ให้วิชาหลายคน ด้วยความสัตย์จริงผมภูมิใจมากที่ได้เป็นหนึ่งในนักแสดงของอา คงจะเก็บความภาคภูมิใจนี้ไว้ตลอดชีวิต“
“รู้สึกมีบุญเหลือเกินที่ได้รู้จักท่าน เคยดูหนังของท่าน และวันนี้เป็นเราที่ได้ก้าวเท้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตำนานชีวิตการสร้างละครของท่าน เป็นความภาคภูมิใจที่สุดของการเป็นอาชีพนักแสดง ตั้งใจสืบสานวิชาการของคุณอาฉลอง อยากจะบอกว่า 20 ปีได้ที่โดนดุด่าหนักมากในวันนั้น ที่เราไม่เข้าใจทำไมถึงโดนหนักเหลือเกิน ผิดน้อยผิดมากโดนโทษเท่ากัน แต่เพื่อนนักแสดงคนอื่นไม่โดนเท่าเรา ก็แอบน้อยใจ ตอนนั้นก็คิดว่าคุณอาไม่ชอบอะไรผมหรือเปล่า แต่ทุกวันนี้อยากจะกราบขอบพระคุณคำดุด่าของอาวันนั้น(น้ำตาไหล) มันทำให้ผมมีวันนี้ ทุกคำด่าที่ครูให้ผมมา ทำให้ผมมีอาชีพ นอกจากเป็นนักแสดงแล้ว ยังได้ทำงานเบื้องหลังเป็นกับเขา วิชาที่ครูให้ประเสริฐเลิศล้ำเหลือเกิน จนหาอีกไม่ได้แล้ว อยากจะขอบพระคุณตลอดเวลาที่ผ่านมารวม 20 ปี ผมเป็นตัวเป็นตนได้ทุกวันนี้ จากเด็กที่ทำไม่เป็นเลย ไม่มีแววแต่คุณอาก็ยังเมตตาเป็นอย่างยิ่ง เสียเวลากับผมมาก เทคไม่รู้กี่เทค แต่คุณอาก็ยังตั้งใจที่จะปั่นให้เป็นให้ได้ เพราะถ้าไม่มีการเคี่ยวเข็ญอย่างหนักหน่วงของคุณอาวันนั้น ก็ไม่มีวินัยเกิดขึ้นกับตัวเรา แล้วก็นำมาบอกต่อเล่าขานนักแสดงรุ่นน้องได้รู้จักวิธีการทำงานของอา ในการสร้างคนนักแสดงขึ้นมาจากการที่ไม่เป็นอะไรเลย เราอยากจะบอกว่าบุญคุณครั้งนี้ แล้วก็ความเมตตาของคุณอา ชาตินี้คงจะไม่มีวันลืมจน”
เอกเผยต่อว่า“อาเป็นเหมือนพ่อ คุณแม่ ครูบาอาจารย์ที่ให้ชีวิตของผม เอก รังสิโรจน์ ในวงการบันเทิง ตั้งแต่ก้าวแรกจนจนมาถึง 20 ปีทุกภาพเป็นภาพสำคัญทั้งหมด คุณอาได้คำสอนทุกๆสิ่ง แม้กระทั่งการสั่งสอนนักแสดงท่านอื่น หรือว่านักแสดงสมทบที่ไม่ใช่พระนาง ท่านก็ใส่ใจก็เลยซึมซับว่าคุณอาใส่ใจทุกรายละเอียด ทุกตัวละคร ผมมักจะพูดถึงบ่อยๆกับเพื่อนนักแสดงคือ เป็นซีนที่อยู่ในความทรงจำของผม คือเป็นนักสมทบคนหนึ่ง ที่เข้าฉากน่าจะใกล้เที่ยงแล้ว แต่เขาเล่นไม่ได้เขาเคยเล่นหนังไทยมาซัก 20 ปีก่อน แล้วคุณอาก็เลยให้กลับมารับบท ในหัวหน้าโจร ต้องมีพลังตัวเขาใหญ่มาก บทประมาณว่ามันหนีไปแล้ว พวกเอ็งตามไปเลยตามไปล่ามัน ถ้าไม่ได้ตัวอย่ากลับมาถ้าข้าเห็นหน้า แต่เขาทำไม่ได้พวกเราก็นั่งเอาใจช่วย เขาทำไม่ได้คุณอาก็รอ จนมันจะเที่ยง จนเลยเที่ยง จนจะบ่าย คนเริ่มก็หิวข้าวกัน แล้วนักแสดงผู้นั้นเขาก็เกรงใจนักแสดงในกองไม่ได้กินข้าว คุณอาก็ไม่ยอมเลิกจะเอาซีนนี้ให้ได้ เขายกมือท่วมหัวบอกว่าพ่อครับ ทิ้งเวทีไว้ 20 ปีผมเล่นไม่ได้เปลี่ยนตัวเถอะครับ อาว่งโทรโข่งเดินไปที่หน้าเซ็ท ในเมื่อผมเลือกคุณแล้ว บทนี้เท่ากับว่าใครแทนคุณไม่ได้ ผมจะรอ จากการที่คุณอาไปพูดแล้วกลับที่มอนิเตอร์ เชื่อไหมว่าเขาเล่นได้ เรามั่นใจว่าถ้าคุณอาเลือกแล้วใครก็ต้องได้”
ขอบคุณภาพประกอบจาก:aekrangsiroj