สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ว่า นายบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ขึ้นเวทีปราศรัยที่เมืองพิตต์สเบิร์ก ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มรัฐสวิงสเตตของการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันที่ 5 พ.ย. เพื่อหาเสียงให้กับนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีและตัวแทนของพรรคเดโมแครต โดยเป็นการปราศรัยเดี่ยวครั้งแรกของโอบามา ในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย
Donald Trump is not thinking about you. He only sees power as a means to his ends. America is ready to turn the page. pic.twitter.com/q80uODpUkZ
— Barack Obama (@BarackObama) October 11, 2024
แน่นอนว่าการหาเสียงของโอบามา ยังคงเป็นการโจมตีนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีและตัวแทนพรรครีพับลิกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่โอบามาวิจารณ์ทรัมป์ “ปราศรัยยืดยาวเหมือนนายฟิเดล คาสโตร” รัฐบุรุษของคิวบาผู้ล่วงลับ และกล่าวว่า อดีตผู้นำสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน “ไม่เข้าใจประชาชน”

ทั้งนี้ โอบามายอมรับว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ “เป็นการแข่งขันที่สูสีมาก” และเน้นว่า แฮร์ริสพร้อมแล้ว สำหรับการเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ
I will cut the price of ENERGY and ELECTRICITY in HALF within 12 months. We will seriously expedite our environmental approvals, and quickly double our electricity capacity. This will DRIVE DOWN INFLATION, and make AMERICA and MICHIGAN the best place on earth to build a factory… pic.twitter.com/N3UFtLXf8L
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) October 10, 2024
ขณะที่ทรัมป์ลงพื้นที่รัฐมิชิแกน พื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญของอเมริกา และเป็นหนึ่งในสวิงสเตตของการเลือกตั้งครั้งนี้เช่นกัน โดยอดีตผู้นำสหรัฐ นำเสนอแนวนโยบายเศรษฐกิจ หนึ่งในนั้นคือ “การปกป้อง” อุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศ ที่รวมถึงการกำหนดกำแพงภาษีสูงลิ่ว สำหรับรถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตในอเมริกา

ด้านผลสำรวจความคิดเห็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนีย จัดทำโดยวิทยาลัยอีเมอร์สัน ร่วมกับสำนักข่าวออนไลน์ เดอะ ฮิลล์ เผยแพร่ในสัปดาห์นี้ ปรากฏว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมนำเหนือแฮร์ริส 49% ต่อ 48% แต่ 3% ยังไม่ได้ตัดสินใจ
ส่วนผลสำรวจโดยมหาวิทยาลัยควินนิพิแอค ระหว่างวันที่ 3-7 ต.ค. ที่ผ่านมา พบว่า 50% ของกลุ่มตัวอย่างในรัฐมิชิแกน จะลงคะแนนให้ทรัมป์ 47% เลือกแฮร์ริส และที่เหลือยังไม่ตัดสินใจ.
เครดิตภาพ : AFP