กลายเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจหนักมาก หลัง “หนุ่ม-ศรราม เทพพิทักษ์” ที่ได้ออกมาสัมภาษณ์กับสื่อเผยว่าถูกอดีตภรรยา “ติ๊ก บิ๊กบราเธอร์” หรือ “กุ้งพลอย กนิษฐรินทร์” ฟ้องข้อหา กีดกันไม่ให้พบบุตร ทั้งคู่ได้นัดเข้ามาไกล่เกลี่ยที่ศาลเยาวชนและครอบครัว แต่สุดท้ายดูเหมือนจะหาข้อยุติตกลงร่วมกันไม่ได้ ซึ่งจะมีการนัดพบไกล่เกลี่ยกันอีกครั้งในวันที่ 20 ธันวาคม เวลา 09.00 น. โดยล่าสุด “กุ้งพลอย กนิษฐรินทร์” ได้เดินทางมาร่วมงาน World Film Festival of Bangkok เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 16 และได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเปิดใจถึงสาเหตุการฟ้อง

กุ้งพลอย เผยว่า “จริงๆ แล้วมันค่อนข้างพูดยาก ไม่กล้าก้าวล่วงการพิจารณาของศาล ขอให้เป็นขบวนการศาลพิจารณาไปในขั้นต้น อะไรตอบได้ก็จะตอบ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะตอบให้ทุกคนฟ้งชัดๆ ไปเลย กรณีนี้ยังไม่ขอพูดได้ไหม ขอจริงๆ กุ้งพลอยเคารพต่อศาลมาก วันที่พึ่งพาศาล ต้องเป็นวันที่ไม่รู้จะพึ่งพาใครแล้วจริงๆ ไม่ใช่ว่าเป็นคนไม่อดทน ไม่ใช่ว่าเป็นคนไม่ยอม เราทั้งยอมและอดทน ไม่ได้แข็งข้อนะคะแต่ว่าแข็งแรงขึ้น เป็นปัญหาสะสม เราชอบอะไรที่ชัดเจน มันทำตามที่บอกได้เราโอเค แต่ถ้ามันไม่ชัดเจน สิ่งที่พูดไว้แล้วทำไม่ได้ แล้วมันไม่จริง ใช้วาทกรรมในการอำพรางก็เลิกทำเถอะนะ ฟางเส้นสุดท้ายมีมาสักระยะนึงแล้ว แต่ก็ยอมที่จะอดทน พยายามเข้าใจ ทุกคนก็รู้ว่าเรื่องครอบครัวมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนกับลูก ไม่อยากจะมาฟาดฟันเหมือนแต่ก่อน 1-3 ปีที่แล้ว ฟางเส้นสุดท้ายน่าจะเป็นเรื่องของการติดต่อสื่อสารที่โดนบล็อก ไม่รับสายหลายๆ รอบ คำสั่งศาลมาก่อนหน้านี้ ข้อตกลงมันคืออะไรที่อีกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม ในการอ้าง 6 ข้อหลังใบหย่าที่เรายังไม่รู้กฎหมายและไม่คิดอยากจะรู้กฎหมาย เพราะเชื่อใจและเคารพการตัดสินใจตอนนั้นไปโดยที่เรายังไม่รู้กฎหมายมากนัก เราเคารพการตัดสินใจคนคนหนึ่งเพราะเราไม่อยากให้เขาเครียด ไม่อยากให้เขาทุกข์ เราก็เลยยอมทุกอย่างตามที่เขาบอก แต่พอวันนึงที่เรารู้กฎหมายแล้ว สิ่งที่เราได้รับ 6 ข้อที่มีอยู่หลังใบหย่ามันกว้างเกินไป การที่จะห้ามในทุกๆ อย่างที่เราขอไป สิ่งที่เราขอมันเป็นสิ่งดีๆ ที่วีจิจะได้รับทั้งนั้น แต่เราไม่เคยได้ เช่น การพบเจอลูก พบเจอที่ศิริไทมา 4 ปีกว่าแล้ว เราขอก็ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนสถานที่ ลูกป่วยก็ไม่ใส่ใจที่จะแจ้งเรา การบล็อกวิดีโอคอลก็ทำ นึกอยากจะบล็อกก็บล็อก ไม่มีเหตุผลที่จะแจ้งบอก เมื่อก่อนก็อาจจะอารมณ์ปรี๊ดง่าย เดี๋ยวนี้นิ่งขึ้นเพราะมันชินแล้ว”

“ไม่ได้เจอน้องวีจิถ้ารวมที่เขาตกลง แล้วเราก็ยอมในข้อตกลงนั้น เราก็คิดว่าข้อตกลงนั้นพี่เขาจะทำให้มันชัดเจนขึ้น แต่มันก็ไม่มีอะไรที่ชัดเจนขึ้น เช่น ถ้า 2 เดือนไม่ได้เจอลูก หน้าที่ที่จะต้องแจ้ง ก็ไม่มีการแจ้ง ถ้านับวันนั้นจนถึงวันนี้ก็จะ 8 เดือนแล้ว วิดีโอคอลก็หลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังโทรฯ เรื่อยๆ เขาก็ไม่รับ เหตุผลว่าอะไรที่ไม่ให้เจอลูก ทุกวันนี้สังคมก็ถาม ทุกๆ คนก็ถามว่าเหตุผลคืออะไร ตัวเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน มันก็เป็นสิ่งที่ดีในการยอมมา 4 ปีที่ผ่านมา เราก็เริ่มจะได้รู้เหตุผลแล้วจากที่เขาให้สัมภาษณ์ล่าสุดก็น่าจะเป็นคำตอบชัดเจนแล้ว เรื่องคอนเทนต์กับลูกมีคนถามเยอะมาก จะบอกว่าวาทกรรมอำพรางมันเกิดขึ้นได้ทุกกรณีในการเบี่ยงประเด็น ในหลักของข้อความจริงรึเปล่า กุ้งพลอยไม่ได้ทำคอนเทนต์ ที่เขาบอกสระว่ายน้ำที่น้องไปเรียนพิเศษ ที่โรงเรียน ขอถามว่ามีรูปออกมาไหมคะ ถ้ามีรูปออกมาว่าไปทำคอนเทนต์ค่อยมาว่ากัน แต่มันไม่มีไงคะ สังคมก็ถามเรา ไม่อย่างนั้นเราไม่ชี้ประเด็นเป็นรูป สังคมก็จะเคืองใจเราไปอย่างนี้ตลอด เราเข้าใจน้ำหนักชื่อเสียงของเรามันป่นปี้ยับเยินไปหมดแล้ว พอจะมาพูด มาอธิบายคนไม่เชื่อหรอก เขาต้องเชื่อคนที่มีน้ำหนักมากกว่า ถ้าไม่อยากให้ถ่ายรูปทำคอนเทนต์ พี่หนุ่มก็ควรจะทำเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน ใครกันแน่ที่ทำคอนเทนต์ลูกมากที่สุด เป็นตัวเองหรือเปล่า ถ้าพี่หนุ่มมีรูปที่สระว่ายน้ำ พี่หนุ่มก็เอามาให้นักสืบดูด้วยสิคะ ถ้าโรงเรียนมีรูปพี่หนุ่มก็ควรจะเอาหลักฐานเวลาที่สัมภาษณ์นักข่าวสำนักไหนสำนักหนึ่ง พี่หนุ่มก็เอาหลักฐานมาให้เขาดูด้วยสิ ไม่อยากคุยด้วย ก็เป็นหน้าที่ของทนายไปก็แล้วกัน”

(ข้อเรียกร้องเราอยากจะขอเลี้ยงลูกวัน ศ.-จ.?)
“ข้อเรียกร้องมาได้ไง มันเป็นข้อมูลในศาลพี่หนุ่มเอามาเปิดเหรอคะ ถามว่าตอนนี้กังวลไหม เมื่อก่อนกังวลค่ะ เพราะมันเริ่มๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกกังวล รู้สึกว่าถ้าใครคนหนึ่งจะต้องโดนใส่ร้ายป้ายสีตลอด วันนึงเขาอาจจะยอม แต่วันนึงเขาอาจจะไม่ยอมคุณแล้วก็ได้ อาจจะลุกขึ้นมาสู้เพื่อปกป้องตัวเองด้วยเหมือนกัน ที่ผ่านมามันก็ยากอยู่แล้ว ก็ต้องพยายามอีก เพราะกลัวลูกจะลืมหน้า ที่ผ่านมาก็ถือว่าพยายามเต็มที่แล้วในทุกเรื่องราวที่ผ่านมา จนมั่นใจว่าลูกคงไม่ลืมแล้ว ช่วง 1 ขวบกว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ลูกจะต้องมีแม่ 2-3-4-5-6-7 ลูกก็จำเป็นจะต้องมีแม่ ช่วงนี้ลูกจะต้องใกล้ชิดกับแม่ไม่ใช่เหรอ แล้วมันเป็นประเด็นจากใครที่ลูกใกล้ชิดกับแม่ยากเย็นเหลือเกิน
บอกกับลูกตลอดเวลาวิดีโอคอล แล้วก็รู้ด้วยว่าลูกอยากจะเจอเรา และคิดถึงเราเหมือนกัน เวลาที่เขาได้ยินบุคคลสองคนอยู่ในบ้านคุยกัน เวลาจะได้เจอแม่ ก่อนที่จะไม่ได้วิดีโอคอลเขาจะบอกว่าแม่ๆ… แม่ๆ ดีใจไหม ก็เลยบอกว่าดีใจ กลัวกระแสจะตีกลับไหม ไม่ได้กลัวอยู่แล้ว เพราะจะถูกหรือผิดเราไม่ได้สู้กันต่อหน้าสื่อ ตอนนี้เราใช้กระบวนการการตัดสินของศาลเป็นการพิจารณาขั้นตอน ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการไกล่เกลี่ย คือเรื่องนี้จะไม่จบถ้ายังสร้างวาทกรรมอำพรางให้บุคคลอื่นอยู่ มันก็จะไม่จบหรอกค่ะ จริงๆ แล้วเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับแพ้หรือชนะ มันเกี่ยวกับการที่เราจะหาจุดตรงกลางให้ลูกได้ดีที่สุดมากกว่า ไม่ใช่ลงจากศาลมาแล้วมาให้สัมภาษณ์ ถามหน่อยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ อะไรที่ผลักดันให้พี่มายืนตรงนี้คะ มันไม่มีข่าวออกไปเลย ข่าวที่ออกมาก็มาจากเขา อย่าว่าว่าแก้เลย ถ้าวันนี้ไม่ลุกมาปกป้องตัวเองมันก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่จบหรอก ต่อไปนี้จะไม่ให้ใครมาใส่ร้ายป้ายสีกันได้อีกแล้ว ต้องขอโทษด้วย เวลาจะพูด จะสัมภาษณ์อะไรให้มีหลักฐานด้วย หนึ่งคำพูดไม่สู้กับหลักฐานที่อยู่ในมือหรอก ด้วยมารยาทมันเป็นเรื่องของครอบครัว ตอนที่อยู่ที่ศาลมีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์ เราก็กราบขอโทษเขา เราไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นข่าว อยากให้เคลียร์กันในขั้นตอนไกล่เกลี่ยและจบกันไปดีกว่า แต่สุดท้ายก็เห็นข่าวออกมาจากเขา เขาพูดเยอะไม่สะเทือนเลยค่ะ แค่รู้สึกว่าไม่น่าจะออกมาจากปากพี่หนุ่มเลยด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มันไม่เกี่ยวว่าใครถูกใครผิด ที่ผ่านมากุ้งพลอยก็ได้รับพลังจากประชาชนตัดสินว่าเป็นคนไม่ดีไปแล้ว หนูยังอยู่ได้เลยค่ะพี่ หนูยังสู้เลย โอกาสของกุ้งพลอยน้อยมากเลย โอกาสของพี่หนุ่มมันมีเยอะกว่ามากแล้วจะมาซีเรียสทำไม เวลาการชี้นำสังคมเราไม่ได้เก่ง เราพูดอะไรก็พูดออกมาจากใจ ไม่ต้องมีบท ไม่ต้องมีสคริปต์ เราไม่สามารถชี้นำประชาชนหรือสื่อได้ทุกคนให้มาเชื่อตาม ฉะนั้นเวลาพี่เขาพูดหรือให้สัมภาษณ์ ขอร้องนิดนึงอย่าชี้นำสังคมให้ต้องมาตัดสินว่าเราไม่ดี”

ขอบคุณภาพประกอบจาก:mama.veeji