ปัญหาสภาพอากาศที่หนาวเย็น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิล ข้อมูลล่าสุดจากสหราชอาณาจักรชี้ให้เห็นว่า ปริมาณการปนเปื้อนของพลาสติกในกระดาษและวัสดุอื่นๆ เพิ่มขึ้นถึง 40% ในช่วงฤดูหนาว ส่งผลให้ขยะพลาสติกจำนวนมากต้องถูกนำไปฝังกลบหรือเผาทำลายแทนที่จะนำกลับมาใช้ใหม่

สาเหตุหลักๆ เกิดจากสภาพอากาศที่ชื้นและฝนตกในช่วงฤดูหนาว ทำให้กระดาษแข็ง บัตร หรือการ์ดต่างๆ ที่เปียกชื้นไปติดกับขวดพลาสติกและภาชนะอื่นๆ เมื่อนำไปรีไซเคิล ขยะที่ปนเปื้อนเหล่านี้จะสร้างความเสียหายให้กับเครื่องจักรและกระบวนการผลิต ทำให้โรงงานรีไซเคิลไม่สามารถแยกวัสดุต่างๆ ออกจากกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ขยะปนเปื้อนจำนวนมากต้องถูกปฏิเสธและนำไปกำจัดในที่สุด

ขยะพลาสติกที่ไม่ได้รับการรีไซเคิลจะก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างในยิ่งมหาสมุทร พลาสติกที่ถูกทิ้งลงสู่ทะเลจะสลายตัวเป็นชิ้นเล็กๆ ที่เรียกว่าไมโครพลาสติก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเลและระบบนิเวศทางทะเล นอกจากนี้ พลาสติกยังปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายสู่สิ่งแวดล้อมและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ได้

สถานการณ์ดังกล่าว จุดประกายให้เกิดการอภิปรายเกี่ยวกับนโยบายการจัดการขยะในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเกี่ยวกับการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ขณะที่ ‘อังกฤษ’ ก็กำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายการเก็บรวบรวมขยะรีไซเคิล เพื่อให้ประชาชนแยกประเภทของขยะแต่ละชนิด เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว และโลหะ ก่อนนำไปทิ้ง ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นวิธีการที่ช่วยลดปัญหาการปนเปื้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการรีไซเคิลได้อย่างมีนัยสำคัญ

จากข้อมูลของ DS Smith บริษัทชั้นนำด้านการรีไซเคิลกระดาษและกระดาษแข็งรายใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ระบุว่า ปริมาณการปนเปื้อนในกระบวนการรีไซเคิลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่มีฝนตกชุก โดย ‘โจนาธาน สก็อตต์’ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางเทคนิคของ DS Smith อธิบายว่า บริษัทได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่าปัจจัยทางฤดูกาลมีอิทธิพลต่อระดับการปนเปื้อนอย่างชัดเจน

สอดคล้องกับข้อมูลทางสถิติที่ถูกเผยแพร่ในเดือนกันยายน ชี้ให้เห็นว่าอัตราการรีไซเคิลในครัวเรือนของอังกฤษ ลดลงจาก 44.6% ในปี 2022 เหลือ 44.1% ในปี 2023 ขณะที่พื้นที่อื่นๆ ในอังกฤษกลับมีอัตราการรีไซเคิลเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อังกฤษยังนับว่าเป็นประเทศที่ผลิตขยะจำนวนมหาศาล โดยในปี 2020 มีการสร้างขยะรวมทั้งสิ้น 191.2 ล้านตัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างและการรื้อถอน แม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลงจากปี 2018 ที่มีปริมาณขยะสูงถึง 222.2 ล้านตัน ก็ตาม

ในปี 2021 รัฐบาล ภายใต้การนำของบอริส จอห์นสัน ได้ดำเนินการทบทวนกฎหมายสิ่งแวดล้อม โดยนำพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่มาใช้แทนกฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่เคยบังคับใช้ก่อนหน้านี้ พร้อมกันนี้ ได้มีการเริ่มกระบวนการศึกษาและปรึกษาหารือ เพื่อนำโครงการคืนเงินมัดจำขวดน้ำและการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ที่กำหนดให้ผู้ผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง รวมถึงการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการจัดเก็บขยะ อย่างไรก็ดี การดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวมีความล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

สาเหตุหนึ่งของความล่าช้าในการดำเนินโครงการ EPR เกิดจากการที่บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มได้เข้ามาให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมาย ซึ่งส่งผลให้กระบวนการพิจารณาและอนุมัติล่าช้าออกไป โดยคาดว่าโครงการ EPR จะเริ่มมีผลบังคับใช้และมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ผลิตตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2025 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ แผนของโครงการดังกล่าว ก็ยังมีความไม่ชัดเจนและล่าช้าในการดำเนินการ แม้ว่า ‘แมรี ครีก’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม จะได้ประกาศแผนดังกล่าวสำหรับใช้ในอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือเมื่อเดือนที่ผ่านมา ทว่าก็มีการตัดสินใจที่น่าสนใจคือ การไม่รวมบรรจุภัณฑ์แก้วเข้าไปในระบบนี้ ก่อนหน้านี้ สกอตแลนด์และเวลส์ได้ประกาศแผนการคืนเงินมัดจำที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ถูกเลื่อนออกไปเช่นเดียวกัน

จากสถานการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีผลประโยชน์ทับซ้อนกันหลายประการ การหาจุดสมดุลระหว่างการส่งเสริมการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพและการสนับสนุนภาคธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและพิจารณาอย่างรอบคอบ

ด้าน‘คริส มิลส์’ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและข้อมูลเชิงลึกจาก WRAP ( Waste & Resources Action Programme ) องค์กรการกุศลที่จดทะเบียนในอังกฤษ ได้ให้ความเห็นว่า การแยกขยะนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การแยกขยะในพื้นที่สาธารณะ เช่น อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ อาจเป็นเรื่องท้าทายและมีความซับซ้อนมากกว่าที่

“แม้เราจะเห็นพ้องต้องกันว่าการแยกขยะในระดับหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านและมีกิจกรรมหลากหลายนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือและการจัดการที่เหมาะสม” มิลส์ กล่าว

ขณะที่ ‘แอนดี้ เกรแฮม’ โฆษกด้านสิ่งแวดล้อมของเครือข่ายสภาเขต ก็ได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการรีไซเคิลในระดับชาติที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นว่าการศึกษาและความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการรีไซเคิลยังมีช่องว่างที่ต้องปรับปรุง นอกจากนี้ เกรแฮมยังเสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณระยะยาวเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและกิจกรรมส่งเสริมการรีไซเคิลอย่างจริงจัง

“เราต้องการงบประมาณที่มั่นคงและต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยสามปี เพื่อให้เราสามารถเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการเพิ่มอัตราการรีไซเคิลได้” เกรแฮม กล่าว พร้อมเสริมว่า “นโยบายปัจจุบันที่หลากหลายและขาดความสอดคล้องกัน ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญอยู่”

ในขณะเดียวกัน การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่าง ‘แอมะซอน’ (Amazon) ก็ส่งผลกระทบต่อปริมาณขยะบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดย เกรแฮม ตั้งข้อสังเกตว่า การใช้บรรจุภัณฑ์ที่มากเกินความจำเป็น เช่น กล่องกระดาษแข็งสำหรับการจัดส่งสินค้ารายย่อย เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข อย่างไรก็ตาม แอมะซอน เองได้ประกาศว่าได้ดำเนินมาตรการลดปริมาณบรรจุภัณฑ์โดยเฉลี่ยลงแล้ว 41% นับตั้งแต่ปี 2015 และมุ่งมั่นที่จะใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ง่ายแทนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวในภูมิภาคยุโรป

จะเห็นแล้วว่า การเพิ่มขึ้นของขยะจากบรรจุภัณฑ์และความจำเป็นในการบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประเด็นที่ท้าทายสำหรับทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกคน การสร้างความร่วมมือและการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกัน จึงถือเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก: The Guardian