น่าจับตามองเป็นอย่างมากหลังรายการดังคุยแซ่บ show ได้ชวนตำนานนักร้องลูกกรุงชั้นครูของเมืองไทย ชรินทร์ นันทนาคร ให้มาเล่าเส้นทางความรักกว่า 50 ปี กับนางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้งอย่าง เพชรา เชาวราษฎร์ กับวันวานความรักสุดหวาน พร้อมเผยวินาทีที่เพชราต้องสูญเสียการมองเห็นไปตลอดชีวิต และเหตุการณ์ในวันที่ต้องสูญเสียเพื่อนรักอย่าง ครูชาลี อินทรวิจิตร ไปอย่างไม่มีวันกลับ ท่ามกลางความเสียใจและอาลัยของทุกคน

ชรินทร์ เผยว่า “เรื่องคุณเพชราที่จีบเขาก็ร้องหลายเพลงเรียกว่าก็ร้องเยอะ เพลงหยาดเพชรก็เป็นหนึ่งที่ผมร้อง เอาจริงๆผมก็มีคนมาจีบเยอะนะ  แต่ที่ผมชอบคุณเพชราเพราะเขาเป็นคนสวย มีคนจีบเยอะ เราก็ร้องเพลง เขาชอบฟังเพลง แต่ผมก็ไม่ได้จีบอะไรกันมากมายนะ เขาก็ไม่ได้มองผมมากมาย จริงๆแล้วผมกับเขางานชนกันเรื่อยๆ เขาก็งานเยอะ เราก็ร้องเพลงเยอะ ก็รู้สึกว่าจ๊ะเอ๋กันบ่อย ก็ชวนกันไปเที่ยว ไปกินข้าว แต่ที่ชอบกันแล้วไม่มีข่าวก็ต้องห้ามรู้ว่าชอบกัน อันนี้เป็นเรื่องจริง ต่างคนต่างมีงาน มันจะได้มาเจอกันก็ตอนต่างคนต่างว่าง ก็ชวนกันไปกินข้าว แต่ไม่มีหนีนักข่าว เราก็ไปร้านกินข้าวที่อย่าหรูหรามาก”

“เรื่องคบก่อนแต่งงานคือเราต่างคนต่างมีงานเยอะ เธอว่าง ฉันไม่ว่าง โกรธกันเลย ก็คบกันอยู่นาน 10 ปีได้ อย่างเรื่องตาของเขาต้องสูญเสียการมองเห็น ผมก็ไม่อยากโทษนะ เพราะเขาเป็นศิลปิน มันจำเป็นต้องไป ทีมงานเตรียมงานไว้หมดแล้ว จะบอกว่าไม่สบายไม่ได้ สาเหตุที่มองไม่เห็นเกิดจากสิ่งที่น่าเกลียดมากเลย เกิดจากรีเฟล็กซ์ตอนถ่ายหนัง เอาแสงพระอาทิตย์มาสาดใส่ พอเพชรามาก็สาดแสงเข้าไปทุกวันๆ บางทีมี 10 อัน คุณหมอบอกให้เลิก แต่คนก็มาอ้อนวอน ก็ต้องไป ตอนเขาตามองไม่เห็น มีอยู่วันหนึ่ง เขาเดินมาเกาะแขนแล้วก็บอกว่า เธอตาฉันไม่เห็นแล้ว ผมก็พูดอย่างเดียวว่า เธอจำไว้อย่างเป็นยังไงฉันก็จะไม่ทิ้งเธอ ผมปลอบเขาอยู่ไม่นานนะเราะเพชราเป็นคนใจแข็ง ซึ่งตอนเขามองไม่เห็นแล้ว ผมก็ทำให้หมด แรกๆลำบากเหมือนกัน ไม่เห็นใหม่ๆเขาไม่ค่อยชำนาญ ก้าวเข้าไปต้องเอาเท้าเขี่ยก่อนแล้วค่อยไป เป็นอย่างนี้อยู่นานเหมือนกัน”

ชรินทร์ เล่าต่อว่า “แต่ที่เขามองไม่เห็นแล้วไม่ออกสื่อเลยคือเขาก็ไม่ค่อยอยากจะพบหรอกเพราะเขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว เขาทำใจไม่ได้ แรกๆเขาก็กลัว อาย เคยสวย เคยนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง กลายเป็นคนที่ไม่เห็น ต้องทำเป็นร่าเริง ซึ่งตอนนี้เขาเองก็ยังร่าเริงเหมือนเดิม สวยธรรมชาติ เคล็ดลับความรักของคู่เราคือห่วงใยซึ่งกันและกัน ทั้งๆที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่เขาจะคิดอยู่เรื่อยว่าห่วงใยเรา เราก็ต้องไม่ประพฤติตัวไม่ดี ทำให้เขาห่วงใย ส่วนเรื่องคุณชาลีใจหาย แต่มันอยู่ในหัวใจว่าเราจะช่วยอะไรเขาได้ แต่มันก็ไม่ได้แล้วเพราะเขาเสียไปแล้ว ตอนเขาป่วยเขาไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วคุณหมอที่ดูแลเขาก็กระซิบผมว่า ครูชาลีท่านจะอยู่กับเราไม่นานแล้ว เขากับผมเหมือนพี่น้องกัน”

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก เพชรา เชาวราษฎร์