สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ว่า ข้อมูลจากบริษัททั้งสามแห่งระบุว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของมาเลเซีย ก้าวหน้าสู่การมีขีดความสามารถในการทำกำไร และรักษาการเติบโตของมูลค่าสินค้ารวมในระดับตัวเลขสองหลัก การมีส่วนร่วมทางดิจิทัลที่ลึกซึ้งขึ้นในหมู่ผู้ใช้งาน กลยุทธ์การสร้างรายได้ที่มีประสิทธิภาพ และการฟื้นตัวของภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดใหญ่ จะผลักดันการเติบโตดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน อีคอมเมิร์ซยังคงมีส่วนส่งเสริมสำคัญที่สุดต่อเศรษฐกิจดิจิทัลในมาเลเซีย โดยมีมูลค่าสินค้ารวมเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 553,000 ล้านบาท) ในปี 2567 เนื่องจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่กลับมาลงทุนในด้านการเติบโตของมูลค่าสินค้ารวมอีกครั้ง ควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของการค้าผ่านวิดีโอ
ขณะเดียวกัน บริการจองการท่องเที่ยวออนไลน์มีอัตราการเติบโตของมูลค่าสินค้ารวมรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับภาคส่วนอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 276,000 ล้านบาท) ในปี 2567 ขณะที่การท่องเที่ยวระหว่างประเทศของมาเลเซียกำลังฟื้นตัว และคาดว่าจะแซงหน้า ระดับก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ในปี 2567
ด้านภาคการจัดส่งอาหารและการขนส่งในมาเลเซีย เติบโตขึ้น 10% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี มีมูลค่าสินค้ารวมราว 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 138,000 ล้านบาท) ในปีนี้ ซึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการของผู้สัญจรและการเดินทางระหว่างประเทศที่ฟื้นตัว
ขณะที่สื่อออนไลน์ในมาเลเซียขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยคาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี คิดเป็นราว 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 138,000 ล้านบาท) ในปีนี้ ซึ่งขับเคลื่อนโดยความนิยมเนื้อหาดิจิทัล เกม และบริการสตรีมมิ่งที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนบริการการเงินทางดิจิทัลของมาเลเซีย อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และธนาคารดิจิทัลหลายแห่งของมาเลเซีย นำเสนอคุณสมบัติที่น่าสนใจ และเข้าถึงได้ง่าย
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังได้ประเมินศักยภาพการรองรับของศูนย์ข้อมูลของมาเลเซียในปัจจุบัน อยู่ที่ 120 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มถึง 5 เท่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัจจุบัน มาเลเซียมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) จำนวนมากในบรรดากลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอยู่ที่ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 519,000 ล้านบาท) ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ หรือระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย. ที่ผ่านมา.
ข้อมูล : XINHUA
เครดิตภาพ : AFP