เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ใน กทม. ที่กลับมาทวีความรุนแรงอีกครั้ง โดยค่าคุณภาพอากาศวันนี้เกินกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรทุกพื้นที่ ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจของประชาชน

โดยนายณัฐพงษ์ ระบุว่า ตนขอแสดงความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชนชาว กทม. ที่อาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ฝุ่นปกคลุมไปจนถึงวันเสาร์ที่ 7 ธ.ค. นี้ เพราะจากข้อมูลของกรมป่าไม้ระหว่างวันที่ 1-3 ธ.ค. พบจุดความร้อน (Hotspot) ทั่วประเทศจำนวน 306 จุด โดย 93% หรือ 284 จุดอยู่ในพื้นที่การเกษตรบริเวณภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง และภาคอีสาน เมื่อผนวกกับทิศทางลมในช่วงนี้ที่พัดจากทิศเหนือลงใต้และจากตะวันออกมายังตะวันตก ทำให้ฝุ่นละอองจากพื้นที่เกษตรพัดลงมาสะสมที่ กทม. ขณะที่อัตราการระบายอากาศของ กทม. ก็อยู่ในเกณฑ์ย่ำแย่ไปจนถึงวันเสาร์นี้ ซ้ำเติมสถานการณ์ฝุ่นให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่พรรคประชาชนเน้นย้ำเสมอมาคือการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 รัฐบาลต้องวางแผนและดำเนินการล่วงหน้าในช่วง 8 เดือนที่ไม่มีปัญหา เพราะหากมาเร่งออกมาตรการในช่วง 4 เดือนที่ปัญหาวิกฤติแล้วจะไม่ทันการณ์ โดย สส.พรรคประชาชน ได้เสนอมาตรการต่างๆ ผ่านการอภิปรายในสภาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายงบประมาณหรือการอภิปรายนโยบายรัฐบาล แต่มาตรการของรัฐบาลกลับยังไม่มีความชัดเจนและไม่ทันเวลา โดยเฉพาะในภาคเกษตร ฤดูกาลเปิดหีบอ้อยจะเริ่มต้นในวันที่ 6 ธ.ค. นี้แล้ว แต่จนถึงปัจจุบันมาตรการสนับสนุนการตัดอ้อยสดโดยไม่เผาก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะให้ราคาตันละเท่าไร มีเพียงรายละเอียดในที่ประชุม ครม.สัญจรครั้งที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลจะให้ 69 บาทต่อตัน ส่วนอีก 51 บาท จะให้ผ่านการรับซื้อใบอ้อยสด โดย 2 ส่วนให้เกษตรกร และอีก 1 ส่วนให้โรงไฟฟ้าชีวมวล แต่ก็ยังไม่มีมติ ครม. ออกมาอย่างเป็นทางการ มาตรการที่ไม่ชัดเจนและล่าช้าเช่นนี้ทำให้เกษตรกรไม่อาจปรับตัวและวางแผนด้านต้นทุนกำไรล่วงหน้าได้ทัน ขณะเดียวกันมาตรการปรับเงินโรงงานที่รับอ้อยไฟไหม้ในปริมาณมากก็ยังไม่มีออกมา

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่มาตรการด้านข้าว พรรคประชาชนเคยเสนอให้รัฐบาลเพิ่มเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมในการสนับสนุนเงิน 1,000 บาทต่อไร่ เพื่อจูงใจให้เกษตรกรลดการเผา แต่จากการแถลงข่าวมติ ครม. วันนี้ ก็ยังไม่เห็นความชัดเจนในการบรรจุเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมไว้ในมาตรการนี้ ส่วนมาตรการห้ามรับซื้อหรือนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีที่มาจากการเผา รัฐบาลก็สามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องรอร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดมีผลบังคับใช้ โดยทำได้ผ่านทั้งการใช้ พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ออกมาตรฐานบังคับกับสินค้าเกษตรที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ PM2.5 รวมถึงการใช้อำนาจตามกฎหมายการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ที่สามารถกำหนดเงื่อนไขการนำเข้าและห้ามนำเข้าสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งได้

“มาตรการต่างๆ เหล่านี้ รัฐบาลต้องวางแผนและแสดงความชัดเจนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเกษตรกรปรับตัวและคำนวณต้นทุนได้ทัน การแก้ปัญหาฝุ่นไม่ควรรอจนเกิดวิกฤติ แต่ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เกิดปัญหา” นายณัฐพงษ์ กล่าว.