“พรรคพลังประชารัฐ” เดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง ภายหลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค พปชร. ยอมกลืนเลือดอนุมัติแผนผ่าตัดโครงสร้างพรรคแบบเร่งด่วน

โดยใช้โมเดลเหมือนช่วงยึดอำนาจ “กลุ่ม 4 กุมาร” กลางปี 2563 ที่ให้คณะกรรมการบริหารพรรค ลาออกเกินครึ่งหนึ่งเพื่อเปิดทางจัดประชุมเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

บีบให้ นายอุตตม สาวนายน, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ต้องลาออกจากสมาชิกพรรค พปชร.

ทว่าเป้าหมายครั้งนี้คือทำให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ ออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นผลพวงจากกรณีผู้กองธรรมนัสเล่นเกมออฟไซด์ จัดทำโพลเช็กเรตติ้ง ประเมินผลงานและความนิยม ส.ส.

ทำให้หลายฝ่ายมองการจัดทำ “ธรรมนัสโพล” ครั้งนี้มีวาระซ้อนเร้น (Hidden Agenda) หวังใช้เป็นเครื่องมือบีบให้ ส.ส.เลือกข้างเข้ามาอยู่ในซุ้มผู้กอง แลกกับการลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยหน้า

ประกอบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความไม่ไว้วางใจ ผู้กองธรรมนัส เป็นทุนเดิม ที่เคยถูกวางยาในการลงมติไม่ไว้วางใจเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย.

อาฟเตอร์ช็อกจาก “ธรรมนัสโพล” จึงนำไปสู่เหตุการณ์ “ใบสั่งล้างไพ่” ช่วงเย็นวันที่ 25 ต.ค. “กลุ่มพี่น้อง 3 ป.” ประกอบด้วย ป.ประยุทธ์, ป.ประวิตร และ ป.ป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เรียกคุย 6 รัฐมนตรี สังกัดพรรค พปชร. ที่บ้านพักภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต

เพื่อเตรียมผ่าตัดโครงสร้างพรรค พปชร. ครั้งใหม่!

คุณสมบัติสำคัญของเลขาธิการพรรค คนใหม่ ต้องเป็นมือประสานสิบทิศ รวมถึงต้องมีกระสุนดินดำมากพอ สำหรับแจกลูกพรรคเพื่อใช้ทำศึกเลือกตั้งในอนาคต

ทำให้รายชื่อแคนดิเดต ตำแหน่งเลขาธิการพรรค พปชร.คนใหม่ต้องชิงดำระหว่าง 3 กลุ่ม

(1) “กลุ่มสามมิตร” ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดในพรรค

โดยก่อนหน้านี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เพิ่งได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งให้นั่งตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ส่วนนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีประสบการณ์ ทำหน้าที่ เลขาธิการพรรค ช่วงปี 2563 ขณะที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เคยมีชื่อท้าชิงตำแหน่งเลขาธิการพรรคเช่นกัน

(2) “กลุ่มบ้านใหญ่เพชรบูรณ์” ภายใต้การนำของ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่มีกองหนุนจากกลุ่ม ส.ส.เมืองมะขามหวานเพชรบูรณ์

นายสันติ คือนายทุนพรรคคนสำคัญที่เคยมีชื่อท้าชิงตำแหน่งเลขาธิการพรรคมาแล้วถึง 2 ครั้ง ประกอบกับเป็นแกนนำที่เคลื่อนไหวปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ ในศึกซักฟอกช่วงที่ผ่านมา

(3) “กลุ่มชลบุรี” ภายใต้การนำของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน จุดแข็งของ “เสี่ยเฮ้ง” คือพูดน้อย-ต่อยหนัก สร้างผลงานหลายเรื่อง กระทั่งได้รับความไว้วางใจให้เป็นสายตรงนายกรัฐมนตรี

สะท้อนจากระยะหลังการลงพื้นที่ตรวจราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ ทุกครั้งจะเห็น “เสี่ยเฮ้ง” เป็นวอลเปเปอร์ เดินประกบติด พล.อ.ประยุทธ์ แทบเป็นเงาตามตัว

ภารกิจสำคัญของเลขาธิการพรรค พปชร. คนใหม่คือการประสานรอยร้าว ภายหลังเขี่ย ร.อ.ธรรมนัส ให้พ้นจากเก้าอี้

ทว่าในมุมกลับหากคุมแรงกระเพื่อมไม่ได้ ท้ายที่สุดจะเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ กลายเป็นเรื่องงูกินหาง สร้างปัญหาซ้อนปัญหา กระทบไปถึงเสถียรภาพรัฐบาล โดยเฉพาะการยกมือโหวตผ่านกฎหมายสำคัญ สร้างความวุ่นวายมากกว่าเดิม!