สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ว่า สภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสมีมติเสียงข้างมาก 331 เสียง จากทั้งหมด 577 เสียง ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ไม่ไว้วางใจนายมิเชล บาร์นิเยร์ นายกรัฐมนตรี จากการใช้อำนาจผลักดันผ่านกฎหมายงบประมาณ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภา
ปัจจุบัน ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดในสภา และมติดังกล่าวเสนอโดยฝ่ายค้าน ซึ่งนำโดยพันธมิตรพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในนาม “แนวร่วมประชานิยมใหม่” (เอ็นเอฟพี) อย่างไรก็ตาม การที่มตินี้ได้รับความสนับสนุนจากพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (อาร์เอ็น) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด ของนางมารีน เลอ แปน และนายจอร์แดน บาร์เดลลา ส่งผลให้มติไม่ไว้วงใจได้รับความสนับสนุน “อย่างท่วมท้น” จากที่ประชุม
ทั้งนี้ การที่บาร์นิเยร์ต้องพ้นจากตำแหน่ง เท่ากับว่า คณะรัฐมนตรีทั้งหมดต้องหมดวาระตามไปด้วย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2505 ที่นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสต้องพ้นจากตำแหน่ง จากการลงมติไม่ไว้วางใจของสภา และบาร์นิเยร์ วัย 73 ปี ซึ่งรับตำแหน่ง เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ถือเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในตำแหน่งสั้นที่สุดของฝรั่งเศส นับตั้งแต่การสถาปนาสาธารณรัฐที่ 5 เมื่อปี 2501
ด้านเลอ แปน ซึ่งไม่สนับสนุนบาร์นิเยร์ตั้งแต่แรกแล้ว กล่าวหลังการลงมติ ว่าการที่อีกฝ่ายผลักดันกฎหมาย ที่มีการลดงบประมาณรายจ่ายบางส่วนลงรวม 60,000 ล้านยูโร (ราว 2.16 ล้านล้านบาท) “เป็นแนวคิดที่เป็นพิษ” และเรียกร้องประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ให้ลาออกด้วย ซึ่งผู้นำฝรั่งเศสยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการเพิ่มเติม แต่เคยออกมาคัดค้านการลงมติไม่ไว้วางใจ
ขณะที่บาร์นิเยร์ ซึ่งเคยทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนของสหภาพยุโรป (อียู) ในการเจรจาเบร็กซิตกับสหราชอาณาจักร ระหว่างปี 2559-2562 และถือเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งรับตำแหน่งขณะมีอายุมากที่สุด ในประวัติศาสตร์การเมืองของฝรั่งเศส กล่าวว่า การลงมติไม่ไว้วางใจตัวเขา ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้.
เครดิตภาพ : AFP