เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เปิดเผยว่า ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นกรณีที่ภาคประชาสังคมร้องเรียนเข้ามาว่าร่าง พ.ร.บ.สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. … ของกระทรวงมหาดไทยมีการละเมิดและกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการรวมกลุ่มของประชาชน โดยมีตัวแทนองค์กรสิทธิมนุษยชนหลากหลายองค์กรเข้าร่วมประชุมและมีตัวแทนจากรัฐเข้าชี้แจง โดยหลังจากที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำร่าง พ.ร.บ.สมาคมและมูลนิธิขึ้น ถึงแม้จะมีเจตนาที่ดีในการตรวจสอบการจัดตั้งมูลนิธิสมาคม และเห็นว่าปัจจุบันอาจจะมีทุนต่างชาติบางส่วนเข้ามาจัดตั้งสมาคมที่อาจจะกระทบสิทธิและเสรีภาพและความปลอดภัยของคนไทย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้อาจจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งคณะกรรมาธิการได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ที่ทำงานภาคประชาสังคมและองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ อาจจะมีเนื้อหาที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพในการรวมกลุ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนตามวิถีประชาธิปไตยซึ่งเป็นเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
นางอังคณา กล่าวต่อว่า ส่วนเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ. ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการควบคุมคุณสมบัติของผู้ที่ประสงค์จะเป็นกรรมการสมาคมตามปรากฏตามร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีข้อยกเว้นผู้ที่มีพฤติกรรมเสื่อมเสีย ซึ่งภาคประชาสังคมกังวลว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐตีความได้อย่างกว้าง และจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้ เมื่อ ปี พ.ศ. 2566 ศาลปกครองกลางได้เคยมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของรมว.มหาดไทยในขณะนั้นที่ไม่รับจดทะเบียนแต่งตั้งนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เยาวชนนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นกรรมการสมาคมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
โดยศาลระบุว่า “การที่อธิบดีกรมการปกครองมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคม ในรายนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล จึงเป็นการจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การรับรอง และเป็นการใช้ดุลพินิจออกคำสั่งเกินขอบเขตแห่งความจำเป็นเพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและความมั่นคงของรัฐ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คำสั่งดังกล่าวของอธิบดีกรมการปกครองจึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นการที่ รมว.มหาดไทย อ้างเหตุผลในการออกคำสั่งยกอุทธรณ์เนื่องจากนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ถูกดำเนินคดีอาญาหลายคดีนั้น จึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน”
นางอังคณา กล่าวต่อว่า ในส่วนของการรับเงินอุดหนุนคนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอาจจะเป็นการจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรในการทำงานขององค์กรต่างๆ และสิทธิในการรับความสนับสนุนงบประมาณได้รับการรับรองไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน 1998 ที่ประเทศไทยได้ให้การรับรองไว้และอยู่ในข้อเสนอแนะยูพีอาร์ (กระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน) ที่ไทยได้รับโดยสมัครใจเช่นกัน นอกจากนี้การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปตรวจสอบการทำงานของมูลนิธิในสถานที่ทำการมูลนิธิอาจเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวได้เพราะในอาคารสถานที่อาจมีทั้งเด็กและผู้เยาว์อาศัยอยู่ การเข้าไปของเจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่มีหมายศาล อาจจะเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวได้ นอกจากนี้การกำหนดการลงโทษทางอาญาเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างมาก เพราะการฟ้องคดีอาญาต่อกรรมการสมาคมหรือมูลนิธิเข้าฝ่ายการฟ้องเพื่อกลั่นแกล้ง หรือปิดกั้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมได้ซึ่งเป็นข้อห่วงกังวลที่คณะกรรมาธิการได้รับมา
นางอังคณา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกต เช่นว่าคำว่า “สุจริต” หรือ “ภัยความมั่นคง” ที่ระบุไว้ในกฎหมาย อาจตีความได้กว้างจนเปิดช่องให้รัฐใช้ดุลพินิจในการตีความโดยไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่มีประสิทธิภาพเพียงพอแล้ว จึงเกิดคำถามว่าการควบคุมเส้นทางการเงินผ่านสมาคมและมูลนิธิอาจซ้ำซ้อนเกินจำเป็นและจำกัดการทำงานขององค์กรเหล่านี้ ซึ่งในปี พ.ศ. 2565 สหภาพยุโรปเคยแสดงความกังวลต่อร่างกฎหมายองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร พ.ศ. … (NPOs Bill) โดยชี้ว่าอาจกระทบการทำงานขององค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ เช่น องค์กรช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม นอกจากนั้น ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้อาจไม่สอดคล้องกับมาตรฐานอนุสัญญาขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ในด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย หลักนิติรัฐ ธรรมาภิบาล และสิทธิมนุษยชน รวมถึงการทำงานวิจัยที่มูลนิธิหลายแห่งทำควบคู่ไปกับการทำกิจกรรม ซึ่งการทำงานวิจัยไม่ควรผิดกฎหมาย
ขณะที่ น.ส.ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนองค์กร Protection International กล่าวว่า เสรีภาพในการรวมตัวไม่ควรถูกจำกัดเพียงเพื่อการกุศล แต่ควรเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ไม่ต้องรอให้กฎหมายอนุญาต สิทธิมนุษยชนไม่ใช่สิ่งที่ต้องรอให้กฎหมายอนุญาต แต่เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน การออกกฎหมายที่จำกัดสิทธิเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่เป็นอารยะ ตนตั้งข้อสังเกตว่ากฎหมายนี้อาจเปิดโอกาสให้ใช้อำนาจดุลพินิจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะคำว่า “สุจริต” ซึ่งขาดความชัดเจน นอกจากนี้ยังตั้งคำถามถึงความเชื่อมั่นของกระทรวงมหาดไทยในการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ, พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ, และ พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ฯ ซึ่งควรเพียงพอในการจัดการปัญหาโดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่
“ตอนนี้ในกระทรวงมหาดไทยไม่มีความเชื่อมั่นในการใช้กฎหมายเหล่านี้แล้วใช่หรือไม่ ทำไมถึงไม่แก้ที่ต้นตอของการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำไมจะต้องใช้หลักการความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ที่ประเทศไทยมีมาละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่ร้ายแรงต่อประชาชน ซึ่งการออกกฎหมายนี้เป็นการจำกัดเสรีภาพของประชาชนในการรวมตัว ทั้งที่เป็นสิทธิพื้นฐานที่ประเทศสมาชิกสหประชาชาติควรเคารพ กฎหมายนี้ไม่เพียงกระทบองค์กรสิทธิมนุษยชน แต่ยังส่งผลต่อประชาชนทั่วไปที่รวมตัวกันเพื่อประโยชน์สาธารณะ หากกฎหมายนี้ผ่าน จะเป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ” น.ส.ปรานม กล่าว
ด้านนายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เจตนาหลักของการปรับปรุงกฎหมายสมาคมและมูลนิธิคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลองค์กร โดยเฉพาะการดำเนินงานที่ไม่สุจริต เพื่อให้สังคมมีความปลอดภัยและโปร่งใส เราเน้นให้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินงานที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สุจริต เพื่อให้สังคมปลอดภัย และมั่นใจว่าองค์กรเหล่านี้ทำงานได้อย่างสุจริต กระทรวงมหาดไทยพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะและนำไปพิจารณา.