มีคำถามเกิดขึ้นถ้า “นายวัชระ เพชรทอง” อดีตสส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป. ) ไม่ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 67 จะไปยื่นหนังสือ ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบกรณีที่กรมราชทัณฑ์ปล่อยตัว นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง ออกจากเรือนจำตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.แล้ว แต่ข่าวกลับเงียบกริบ ไม่มีการแถลงหรือแจ้งข่าวต่อสาธารณชนแต่อย่างใด เพราะคดีดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเป็นเงินมหาศาล และเสี่ยเปี๋ยงถูกตัดสินให้จำคุก 48 ปี แต่แค่ 7 ปีก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว จึงจะยื่นหนังสือขอให้ ป.ป.ช. รับเรื่องนี้ไว้ตรวจสอบ ขณะเดียวกันขอเรียกร้องให้ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม และ “นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ออกมาชี้แจงแถลงข่าวด้วยตัวเองไม่ใช่ออกเอกสารข่าวชี้แจงเป็นตัวหนังสือ ไม่ใช่เก็บตัวเงียบกริบ
จากนั้น กรมราชทัณฑ์ได้ทำเอกสารชี้แจงว่า ได้ปล่อยตัวพักการลงโทษ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม เหลือกำหนดโทษปัจจุบัน 21 ปี 11 เดือน 38 วัน นับแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2558 หักขัง 1,191 วัน จำมาแล้ว 12 ปี 1 เดือน (นับถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2567) จะพ้นโทษวันที่ 27 กรกฎาคม 2577 ซึ่งนายอภิชาตเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม ที่ได้รับการพิจารณาจากคณะทำงานเพื่อพิจารณาวินิจฉัยการพักการลงโทษในชั้นเรือนจำ ตามโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ และได้เสนอให้คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณา วินิจฉัยการพักการลงโทษ พิจารณาตามลำดับ และเห็นควรให้พักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ
เนื่องจาก “นายอภิชาต” มีคุณสมบัติเข้าตามหลักเกณฑ์กรณีเจ็บป่วยร้ายแรง ได้แก่ โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับชนิดรุนแรงม โรคต่อมลูกหมากโต, โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท โรคฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ, โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมองตีบ
ด้าน “นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ” ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม และผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ร่วมกันแถลงชี้แจงเกี่ยวกับการปล่อยตัวพักการลงโทษของกลุ่มผู้ต้องขังในคดีร่วมกันทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เมื่อปี 2558 โดยมีนายวัชระ เพชรทอง อดีตสส. พรรคปชป. ที่เข้าร่วมรับฟังการแถลงในครั้งนี้ด้วย โดยนายสมบูรณ์ ระบุด้วยว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ถูกตัดสินจำคุก 48 ปี ได้รับพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป 4 ครั้ง จนครั้งสุดท้ายเหลือโทษคุกเพียง 10 ปี 8 เดือน และเจ้าตัวจำคุกมาแล้ว 7 ปี 3 เดือน 10 วัน จึงครบกำหนด 2 ใน 3 จึงได้รับการพักโทษกรณีปกติตามเงื่อนไข ขณะที่กรณีของเสี่ยเปี๋ยง เจ้าตัวได้รับการพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไปมาแล้ว 5 ครั้ง อีกทั้ง เพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคไตเรื้อรัง เปลี่ยนถ่ายไต จึงเข้าเกณฑ์พักโทษกรณีมีเหตุพิเศษ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะจำคุกมาแล้วเท่าไร แค่ถ้าเข้าเกณฑ์ของการเจ็บป่วยตามเกณท์กำหนด ก็ได้พักโทษกรณีมีเหตุพิเศษได้

ขณะที่ “นายวัชระ” ได้มาร่วมฟังการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย และได้สอบถามว่าเสี่ยเปี๋ยงและผู้ต้องขังคดีจำนำข้าวที่ได้พักโทษ ได้ชดเชยค่าเสียหายให้กับรัฐตามคำสั่งศาลแล้วหรือไม่ เพราะมีมูลค่าความเสียหายหลายแสนล้านบาท โดยนายสมบูรณ์ กล่าวว่า ในการเสนอพักการลงโทษ คณะกรรมการเรือนจำฯ มีการเสนอคำสั่งศาลที่ให้ชดเชย เข้าสู่การพิจารณาด้วย ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาพักโทษตามเกณฑ์ระเบียบกฎหมาย และมีมติให้พักโทษ ส่วนการชดเชยเป็นตามที่ ปปง. และกรมบังคับคดี ได้ไปอายัดทรัพย์สินไว้ตามข้อมูลข่าวก่อนหน้านี้
สำหรับความคืบหน้าในการจัดทำระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 หรือระเบียบคุมขังนอกเรือนจำฯ นั้น นายสมบูรณ์ กล่าวว่า เรายืนยันว่าการจัดทำระเบียบคุมขังนอกเรือนจำฯ ไม่ได้รอให้ใครกลับมาค่อยบังคับใช้ แต่รอเวลาที่ครบถ้วนของกฎระเบียบ ซึ่งเราไม่ได้มีงบประมาณเพียงพอในการขยายเรือนจำ และก็มีข่าวเยอะมากว่าทำไมจึงเอาผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี ไปอยู่รวมกับผู้ต้องขังเด็ดขาด ทำไมจึงมีความแออัด นี่คือข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ วันนี้จึงเป็นช่วงเวลาจำเป็นที่ต้องมีสถานที่คุมขังอื่นที่มิใช่เรือนจำ ยืนยันไม่ใช่หลักเกณฑ์ เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะเข้าเกณฑ์คุมขังนอกเรือนจำหรือไม่ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะหลักเกณฑ์ดังกล่าวยังไม่เสร็จ แต่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ก็มีความเป็นไปได้
ต้องรอดูว่า กระบวนการปล่อยตัวนักโทษในคดี ที่เกี่ยวข้องกับการรับจำนำข้าว จะเชื่อมโยงกับการเดินทางกับมาของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ซึ่งอาจใช้ประโยชน์จากระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ ตามที่หลายฝ่ายวิเคราะห์
ในที่สุดต้องตัดสินใจถอยตามระเบียบ กับแนวคิดของ “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ปรับภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 % เป็น 15 % หลังถูกหลายฝ่ายออกมาต่อต้าน เพราะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน

“น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯโพสต์เฟซบุ๊กและทวิตข้อความผ่าน X หลังร่วม ประชุมคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกฯนอกจากนี้ยังมี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ เข้าร่วมด้วยว่า ภายหลังการประชุม น.ส.แพทองธาร โพสต์เฟซบุ๊กและทวิตข้อความผ่าน X ถึงการหารือร่วมกับที่ปรึกษานโยบายฯ หลังมีกระแสข่าวประชาชนคัดค้านการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มว่า จากข้อกังวลใจของพี่น้องประชาชน ต่อเรื่อง VAT15% วันนี้ได้พูดคุยหารือในประเด็นดังกล่าว กับรองนายกฯรีพิชัย ร่วมกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ เพื่อความชัดเจน ขอสรุป เพื่อชี้แจงต่อพี่น้องประชาชน
1.ไม่มีการปรับ VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 15%
2.กระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
3.การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศอื่นๆ ใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี
4.นโยบายหลักของรัฐบาล คือการลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน
ทั้งหมดนี้ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนคนไทย “ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่าการทำงานของรัฐบาล เราดำเนินการด้วยความรัดกุม รับฟังทุกภาคส่วน และยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยของเราทุกคน” น.ส.แพทองธาร กล่าว

ส่วน “น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล” สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน(ปชน. ) ได้รีทวิต x นายกรัฐมนตรี กรณีถอยไม่ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 15 % พร้อมระบุข้อความว่า ถอยแล้ว! แต่แค่เรื่อง VAT15% เรื่องเดียวตามคาด แล้วเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคล กับเงินได้บุคคลธรรมดาจะยังเดินหน้าศึกษาตามแนวทางเดิมอยู่มั้ยคะ ถ้าไม่มีรายได้เพิ่มจาก VAT มากขนาดนั้น ภาษีนิติบุคคลคงลดได้ไม่มาก ไม่ถึง 15% แล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอัตราเดียว ไม่เป็นธรรมกับคนรายได้น้อย-ปานกลางแน่ๆ ภาษีความมั่งคั่ง Capital gains tax มาตรการลดหย่อนเอายังไง ปลัดคลังพูดแตะๆ ไว้หลายเรื่อง คุณพิชัยตั้งโต๊ะแถลงชัดๆ ถึงแนวทางการปฏิรูปภาษีทั้งระบบซักทีน่าจะดีนะคะ น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชน
คงต้องบอกรัฐบาลได้รับผลกระทบ ในแง่ความน่าเชื่อถืออีกครั้ง เรื่องการสื่อสารและการทำความเข้าใจกับประชาชน เพราะการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในระดับ 15 % จะมีผลกระทบการใช้ชีวิตของประชาชนแน่นอน เพราะสินค้าอุปโภคและบริโภค ต้องมีการปรับขึ้น จึงไม่ใช้เรื่องแปลกที่ในที่สุด ต้องยอมถอย

ส่วนอีกปมร้อน ที่อาจทำให้รัฐบาลมีปัญหาความขัดแย้งกับกองทัพ หลัง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่เอกสารในส่วนของการรับฟังความเห็นร่างพ.ร.บ.ตามรัฐธรรมนูญ(รธน.) มาตรา 77 ระบุว่า “นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย( พท. ) และคณะ ได้เสนอ ร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงความคิดเห็น เบื้องต้นได้รับคำวินิจฉัยจากประธานสภาฯ ว่าไม่เป็นร่างการเงิน และได้เปิดรับฟังความเห็น ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.67-1 ม.ค. 68 ทั้งนี้จากการเปิดรับฟังความเห็นมาแล้ว 4 วัน พบว่า มีผู้ให้ความสนใจ 11,230 คน เห็นด้วย ร้อยละ 88.89 และไม่เห็นด้วย ร้อยละ 11.11
สำหรับหลักการและเหตุผล ของการแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าว ระบุว่า ให้อำนาจคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลที่ผ่านการพิจารณาจาก คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้น เพราะมองว่า การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 แม้จะมีการแต่งตั้งกรรมการ ที่มี รมว.กลาโหม และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นกรรมการ แต่การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลมีการวางตัวบุคคล ที่เป็นพวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้สืบสายเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อไป ซึ่งทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับนายทหารที่ มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ใช่พวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ
“คนที่ไม่ใช่พวกพ้องเสียโอกาสได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการทหารและทำให้การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลขาดความโปร่งใส ดังนั้นจึงควรให้อำนาจ ครม. เป็นผู้พิจารณา อีกทั้งควรปรับองค์ประกอบของกรรมการให้เหมาะสม รวมถึงองค์ประกอบของสภากลาโหม ให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้ามาเป็นสมาชิกสภากลาโหม ให้นายกฯ เป็นประธานสภากลาโหม แทน รมว.กลาโหม และตัดกองทัพอออกจากสภากลาโหมบางส่วน ให้เหลือเพียง 1-2 คนก็เพียงพอ” ข้อมูลประกอบการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ระบุ
ขณะที่ตัวร่างพ.ร.บ.ฉบับแก้ไข นั้น ยังได้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติของนายทหารชั้นนายพล มาตรา 25 ที่จะได้รับการแตั้งตั้งเป็นอย่างน้อยด้วย คือ 1.ไม่เคยมีพฤติกรรม เป็นผู้อิทธิพลหรือพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้ามนุษย์ การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม 2.ต้องไม่เป็นคู่สัญญากับหน่วยยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม หรือประกอบธุรกิจหรือกิจการอันเกี่ยวข้องกับราชการกระทรวงกลาโหม 3.ไม่อยู่ระหว่างถูกสอบสวนทางวินัยหรือถูกดำเนินคดีอาญา เว้นแต่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หมิ่นประมาท หรือ ลหุโทษ
นอกจากนั้นยังเพิ่มเติมการจัดระเบียบปฏิบัติราชการทหาร ในมาตรา 35 ซึ่งเดิมกำหนดหน้าที่ทหารเพื่อปราบปรามจราจล พบว่าร่างแก้ไขได้เพิ่มข้อห้ามใช้กำลังทหารหรือข้าราชการทหาร ในกรณีของการยึดหรือควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาลหรือเพื่อก่อการกบฏ รวมถึงขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการส่วนราชการต่างๆ ห้ามใช้เพื่อธุรกิจหรือกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา และ กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายอื่นๆ ทั้งนี้ได้กำหนดด้วยว่า ข้าราชการทหารที่ได้รับคำสั่งให้ทำ ย่อมมีสิทธิไม่ปฏิบัติตาม และไม่ถือว่าผิดวินัยทหารหรือกฎหมายอาญาทหาร

อีกทั้งยังเพิ่มบทลงโทษนายทหารที่ฝ่าฝืนหรือพบการเตรียมการผิด มาตรา 35 ด้วยการหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ชั่วคราวตามคำสั่งของนายกฯ เพื่อให้เกิดการสอบสวน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการพักราชการตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ในสาระสำคัญของ มาตรา 35 ที่เสนอแก้ไขนั้น ย้ำความสำคัญคือ เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ถ้ากฎหมายฉบับดังกล่าวผ่านการบังคับใช้ เท่ากับอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพล จะอยู่ที่ฝ่ายการเมือง เท่ากับว่า การเมืองจะเข้ามาแทรกแซงในกองทัพ รวมทั้งในมาตรา 35 ซึ่งเพิ่มข้อห้ามใช้กำลังทหารหรือข้าราชการทหาร ในกรณีของการยึดหรือควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาลหรือเพื่อก่อการกบฏ ทั้งนี้ได้กำหนดด้วยว่า ข้าราชการทหารที่ได้รับคำสั่งให้ทำ ย่อมมีสิทธิไม่ปฏิบัติตาม และไม่ถือว่าผิดวินัยทหารหรือกฎหมายอาญาทหาร ต้องรอดูว่าจะมีแรงต้านจากกองทัพหรือไม่.