เวลาที่คุณกินอาหาร มีผลต่อสุขภาพของคุณมากกว่าที่คุณคิด การรับประทานอาหารตรงเวลา เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำหนัก เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคอันตราย เช่น เบาหวาน และมะเร็ง
ผลวิจัยใหม่พิสูจน์แล้วว่า การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานที่จำเป็นเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Cell Metabolism แสดงให้เห็นว่า อาหารเช้าไม่เพียงให้พลังงานแก่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อกระบวนการลดน้ำหนักอีกด้วย โดยการควบคุมฮอร์โมน อาหารเช้าช่วยให้เราควบคุมความอยากอาหารได้ดีขึ้น จึงทำให้ง่ายต่อการรักษาสุขภาพ และลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ อาหารเช้าจึงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในการลดน้ำหนักในระยะยาวและปลอดภัย
ไม่เพียงแต่ปริมาณอาหารเท่านั้น แต่เวลารับประทานอาหารเช้ายังมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพอีกด้วย การศึกษาวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 100,000 คนที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Epidemiology แสดงให้เห็นว่า เมื่อนำผู้ที่รับประทานอาหารเช้าก่อน 08.00 น. มาเปรียบเทียบกับผู้ที่รับประทานอาหารเช้าหลัง 09.00 น. พบว่าคนที่กินข้าวเช้าช้ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานและมะเร็งเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า หรือสูงกว่าถึง 59%

แสดงให้เห็นว่าการปรับเวลาอาหารเช้า สามารถช่วยให้เราป้องกันโรคเบาหวานและมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากสถิติปี 2562 ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคเบาหวาน 463 ล้านคน โดยคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 เท่าภายในปี 2588 อย่างไรก็ตาม กรณีโรคเบาหวานประเภท 2 ส่วนใหญ่สามารถป้องกันและควบคุมได้ เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนได้ เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อ
เวลาในการรับประทานอาหาร ไม่เพียงส่งผลต่อความรู้สึกอิ่มหรือหิวเท่านั้น แต่ยังควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสมดุลของน้ำตาลในเลือด และไขมันในเลือด การศึกษาแสดงให้เห็นว่า ความทนทานต่อกลูโคสและความไวของอินซูลินจะถึงจุดสูงสุดในตอนเช้า ดังนั้นอาหารเช้าจึงไม่เพียงแต่ให้พลังงาน แต่ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่ามื้อเย็นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราฝ่าฝืนกฎการกิน เช่น รับประทานอาหารเช้าสายเกินไป จังหวะการเต้นของหัวใจจะถูกรบกวน นำไปสู่ความเสี่ยงสูงต่อโรคร้ายแรง เช่น โรคอ้วน มะเร็ง และเบาหวาน

การรับประทานอาหารเช้าแต่เช้า จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 103,312 คน บันทึกการบริโภคอาหารตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประเมินช่วงเวลาและความถี่ในการรับประทานอาหาร กลุ่มตัวอย่างถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามเวลาอาหารเช้า
กลุ่มที่ 1 กินอาหารเช้าก่อน 08.00 น. : 44.77%
กลุ่มที่ 2 กินอาหารเช้าตั้งแต่ 8-9 โมงเช้า : 35.78%
กลุ่มที่ 3 กินอาหารเช้าหลัง 09.00 น. : 19.45%
หลังจากติดตามผลมาเป็นเวลา 7.3 ปี พบผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 จำนวน 963 ราย ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าหลัง 9 โมงเช้า มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานสูงกว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารเช้าก่อน 8 โมงเช้าถึง 62% และมีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มที่ 2 ประมาณ 28%
การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า การแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน คนที่ทานอาหารมากกว่า 5 มื้อต่อวัน จะลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ 20% เมื่อเทียบกับคนที่ทานอาหาร 3-4 มื้อต่อวัน อย่างไรก็ตาม การอดอาหารตอนกลางคืนเป็นเวลานานไม่ได้ให้ประโยชน์มากนัก ไม่ว่าจะอดอาหาร 12–13 ชั่วโมง หรือมากกว่า 13 ชั่วโมง ความเสี่ยงของโรคเบาหวานก็ไม่ต่างกัน เว้นแต่จะรับประทานอาหารเช้าก่อน 08.00 น. ความเสี่ยงจะลดลง 53%

ส่วนการรับประทานอาหารเย็นแต่เนิ่นๆ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
การศึกษาอื่นที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Cancer ซึ่งมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 2,000 คนพบว่า การรับประทานอาหารเย็นก่อน 21.00 น. จะช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมากได้ 25%
การรักษาระยะห่างระหว่างอาหารเย็นและการเข้านอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมงจะช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมได้ 20% และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ 26%
เพื่อปกป้องสุขภาพของคุณ ควรปรับเวลารับประทานอาหารให้เหมาะสม พยายามรับประทานอาหารเช้าก่อน 8 โมงเช้า และมื้อเย็นก่อน 3 ทุ่ม สิ่งเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก ช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เป็นอันตรายอย่าง เบาหวาน และมะเร็ง
ที่มาและภาพ : soha