โจ ฟาราตซิส โปรดิวเซอร์หนุ่มของสำนักข่าวทีเอ็มซี เผยประสบการณ์เมื่อ 5 ปีก่อนตอนที่เขาได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 4 ตอนที่เขาอายุได้เพียง 28 ปี
เขาเล่าว่า ก่อนหน้าที่แพทย์จะแจ้งข่าวร้าย เขาสังเกตว่าร่างกายมีอาการผิดปกติบางอย่าง แต่ไม่ได้สนใจและปล่อยให้อาการเหล่านี้หายไปเองเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
ฟาราตซิส ยอมรับว่าเขาไม่สนใจคำเตือนของแพทย์และไม่คิดจะตรวจด้วยการทำซีทีสแกน เขาคิดว่าตัวเอง “อยู่ยงคงกระพัน” จนกระทั่งมีอาการหนักขึ้นและตัดสินใจเข้ารับการตรวจด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง
ตอนนี้เขาไม่พบเซลล์มะเร็งในร่างกายแล้ว และตัดสินใจที่จะแบ่งปันสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับอาการที่น่ากังวลและเป็นสัญญาณเตือนของโรคดังนี้
มีเหงื่อออกมากและเหงื่อออกตอนกลางคืน
แคธี อิง แพทย์หญิงและศาสตราจารย์ด้านการแพทย์จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “อาการเหงื่อออกตอนกลางคืน น้ำหนักลด เจ็บตามร่างกาย โลหิตจางเรื้อรัง อ่อนล้า หายใจถี่ และสูญเสียพลังงาน” ล้วนเป็นอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลาม
มีอาการปวดท้องด้านขวาล่าง
มีข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า บริเวณที่เรารู้สึกเจ็บปวดสามารถระบุได้ว่าบริเวณใดในลำไส้ใหญ่ที่เป็นมะเร็ง เช่น ท้องส่วนล่างขวาคือที่อยู่ของ “ลำไส้ใหญ่ส่วนขึ้น” ซึ่งก็คือส่วนแรกของลำไส้ใหญ่ที่ต่อกับลำไส้เล็ก ทำหน้าที่เคลื่อนย้ายอุจจาระขึ้นไป
ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยมาก
ฟาราตซิสกล่าวว่า เขาเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าเท่าที่ควรจะเป็นซึ่งเป็นอาการที่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนักในตอนแรก
มีอาการปวดท้องเวลาก้มตัว
เขาเล่าว่าเขาจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ก้มตัวลง แต่ไม่ได้สนใจไปตรวจด้วยซีทีสแกนและคิดว่าไม่มีอะไรร้ายแรง
มีอาการท้องผูกและเป็นตะคริว
มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักจะทำให้อุจจาระของคุณเปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกัน ทั้งอาการท้องเสียและท้องผูกเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของมะเร็งชนิดดังกล่าว
มีเลือดออกเวลาขับถ่าย
ฟาราตซิสสังเกตเห็นว่าเขามีเลือดออกเวลาถ่ายหนัก แต่คิดว่าตัวเองเป็นโรคริดสีดวงทวาร อย่างไรก็ตาม นี่คือสัญญาณเตือนครั้งสำคัญที่บ่งบอกว่าร่างกายของเขาผิดปกติ
หนุ่มวัย 34 ปีเล่าถึงตอนนั้นว่า “ผมกำลังนั่งอยู่บนโซฟาและผายลมออกมา มองลงไปแล้วก็เห็นเลือด ผมเลยไปเข้าห้องน้ำและมีเลือดออกมาประมาณครึ่งถ้วยในโถส้วม มันไม่เจ็บนะ แต่ผมรู้สึกว่า ‘พระเจ้าช่วย เห็นได้ชัดว่าเกิดปัญหาบางอย่างแล้ว’”
โปรดิวเซอร์หนุ่มเล่าว่า เขารักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดทางปากและทางเส้นเลือด ต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อเอาส่วนลำไส้ใหญ่ที่มีมะเร็งออกไป รวมถึงรักษาแผลที่เกิดขึ้นในปอดและตับด้วย โชคดีที่หลังจากการรักษาของเขาเสร็จสิ้น สุขภาพของเขาก็เริ่มดีขึ้น เมื่อเขาไปทำซีทีสแกนในปีที่ผ่านมาก็พบว่าร่างกายของเขาปลอดมะเร็งเป็นครั้งแรก
ฟาราตซิสแสดงความเห็นว่า เขาคงจะไม่ต้องอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างหนักระหว่างการรักษา ถ้าหากตรวจพบโรคร้ายตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงสนับสนุนให้คนไปรับการตรวจตั้งแต่เริ่มแรกที่พบอาการผิดสังเกตเหล่านี้
ที่มา : ladbible.com
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES