โดยเฉพาะขั้นตอนที่หลายคนรอคอยคือ การกำหนดคุณสมบัติลักษณะต้องห้าม และวิธีการคุมขังในสถานที่ ให้สอดรับกฎหมาย ซึ่งล่าสุดอยู่ในชั้นการเปิดรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศ
“ทีมข่าวอาชญากรรม” มีโอกาสสอบถามถึงระเบียบดังกล่าวกับ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุ ร่างระเบียบรองรับเสร็จสิ้นและแจ้งพื้นที่เตรียมดำเนินการ ปัจจุบันผู้อยู่ในภาวะ “ไม่อยู่” ในเรือนจำมีจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ต้องขังป่วย ทั้งกลุ่มที่กำลังฟอกไต มะเร็ง หรือติดเตียง กลุ่มผู้ต้องขังสูงอายุ และกลุ่มผู้ต้องขังตั้งครรภ์
นอกจากนั้น เป็นกลุ่มผู้ต้องขังที่กรมราชทัณฑ์มองว่าเข้าตามหลักเกณฑ์ 4 กลุ่ม อาทิ ผู้ต้องขังที่มีคำพิพากษาศาลไม่เกิน 4 ปี หรือมีโทษจำคุกเหลือไม่เกิน 4 ปี จะพิจารณาด้วย ทั้งนี้ ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นดี ชั้นดีเยี่ยม ทุกชั้นสามารถเข้าเกณฑ์พิจารณา หากมีโทษเหลือน้อย
ทั้งนี้ เผยความแตกต่างของผู้ต้องขังระหว่างพักการลงโทษ และผู้ต้องขังที่เข้าเกณฑ์คุมขังสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำว่า กรณีผู้ได้รับพักการลงโทษจะสามารถเดินทางไปที่ใดก็ได้ในพื้นที่จังหวัดของตน หากเดินทางไปต่างจังหวัดต้องรายงานเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ ขณะที่ผู้ต้องขังตามระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ จะต้องอยู่ “ภายในสถานที่ที่กำหนดไว้” เท่านั้น
พร้อมย้ำการคุมขังสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ ไม่ใช่เป็นประโยชน์ แต่เป็นวิธีบริหารโทษที่ไม่ทำให้เรือนจำไม่แออัด เพิ่มประสิทธิภาพเรือนจำเดิม
“คุณก็ยังอยู่ในสถานะนักโทษที่ต้องควบคุมตัว มีสถานะเป็นนักโทษชาย หรือนักโทษหญิง เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่สำหรับคุมขังเท่านั้น”
สำหรับคุณสมบัติผู้ต้องขังรายคดีใด เข้าข่ายต้องไปคุมขังยังสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำนั้น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ไม่ใช่ทุกรายคดีจะเข้าข่าย ยกตัวอย่าง ผู้ต้องขังคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ชีวิต และร่างกาย ตาม พ.ร.บ.มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.2565 หรือ กฎหมาย JSOC, ผู้ต้องขังคดียาเสพติดร้ายแรง ที่มีพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติดปริมาณมาก มีโทษสูงถึงประหารชีวิต หรือ ผู้ต้องขังคดีก่อการร้าย เป็นต้น
ส่วน คดีความมั่นคง ต้องยอมรับว่ามีหลายรูปแบบ หากส่งผลเสียหายหนักก็อาจเป็นข้อยกเว้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการฯ ย้ำว่าไม่ได้เป็นการปิดกั้นเสียทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องขังรายใดจะผ่านเกณฑ์ได้ไปคุมขังนอกเรือนจำหรือไม่ ไม่ได้เกิดขึ้นจากฝั่งผู้ต้องราชทัณฑ์ลงสมัครขอรับการพิจารณา แต่เป็นกรมราชทัณฑ์ต้องเป็นฝ่ายดำเนินการว่า ควรจะย้ายบุคคลใดไปคุมขังยังสถานที่อื่น ซึ่งการพิจารณาจะเป็นลำดับชั้นคือ
กรรมการระดับเรือนจำ/ทัณฑสถานพิจารณารายชื่อ จากนั้นส่งต่อไปยังกรรมการระดับกรมราชทัณฑ์ เพื่อสรุปผล โดยไม่ต้องส่งไปยังระดับกระทรวงยุติธรรม เพราะจบที่ระดับกรมราชทัณฑ์ได้เลย จากนั้นเรือนจำ/ทัณฑสถาน มีหน้าที่ไปปฏิบัติตามที่กรมราชทัณฑ์เห็นชอบ
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุ บุคคลที่ไปคุมขังยังสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำจะไม่ต้องติดกำไลอีเอ็ม ส่วนเงื่อนไขที่ราชทัณฑ์กำหนดไว้สำหรับผู้ดูแลสถานที่นั้นจะกำหนดชัดถึงหน้าที่ของผู้ดูแล หากผิดหลักปฏิบัติต้องโดนพิจารณาคดีอาญาด้วย เพราะหากผู้ต้องขังหลุดไปจากความดูแลถือเป็นโทษที่ปล่อยให้ผู้ต้องขังหลบหนีออกจากสถานที่คุมขัง หรือเสี่ยงมีพฤติการณ์รู้เห็นเป็นใจ จะมีบทลงโทษทางอาญา
ดังนั้น เจ้าของสถานที่คุมขังอื่นจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ดูแลและรับผิดชอบตามที่กรมราชทัณฑ์กำหนด แม้เจ้าของสถานที่ไม่ได้มีสถานะเป็นผู้คุมตามกฎหมายแต่ก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด
พร้อมย้ำ เป้าหมายที่ต้องผลักดันเรื่องดังกล่าวก็เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ เนื่องจากจำนวนผู้ต้องขังทั่วประเทศมีเกือบ 300,000 ราย ส่วนแต่ละเรือนจำจะมีรายใดเข้าข่ายได้ไปคุมขังยังสถานที่อื่น ต้องให้แต่ละเรือนจำ/ทัณฑสถานไปพิจารณาดำเนินการตามกระบวนการต่อไป.
เปิดแสดงความเห็น
ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. 66 ปัจจุบันนี้อยู่ระหว่างประกาศรับฟังความคิดเห็น “ร่างประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้ามและวิธีการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 พ.ศ. …. ” ผ่าน www.law.go.th ระหว่างวันที่ 2 ธ.ค.-17 ธ.ค. 67
ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นกระบวน จะมีการนำความคิดเห็นมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขก่อนเสนออธิบดีกรมราชทัณฑ์ ลงนามประกาศ เพื่อมีผลบังคับใช้ เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มใช้ภายใน 3 เดือนแรกของปี 68.
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน