นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 11 ในเดือนตุลาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “ราคาพลังงานพุ่งแรง กระทบภาคอุตสาหกรรมแค่ไหน?” จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่มองว่าราคาพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางตลาดโลกกระทบต่อการดำเนินธุรกิจภาคอุตสาหกรรมระดับปานกลางถึงหนักมาก โดยเฉพาะในเรื่องต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นจึงเสนอขอให้ภาครัฐช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว โดยสนับสนุนการตรึงราคาค่าไฟฟ้า (Ft) จนถึงสิ้นปี 2564 การปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงานชั่วคราว 3-6 เดือน เพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งดำเนินนโยบายในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว

สำหรับรายละเอียดของการสำรวจจาก 7 คำถาม ดังนี้ 1. ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมระดับใด อันดับที่ 1 : กระทบปานกลาง 49.3% อันดับที่ 2 : กระทบมาก 38.0% อันดับที่ 3 : กระทบน้อย 12.7% 

2. ปัจจัยใดที่ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน อันดับที่ 1 : นโยบายการผลิตน้ำมันของประเทศกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน 76.7% อันดับที่ 2 : การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลทำให้อุปสงค์ด้านพลังงานเพิ่มสูงขึ้น 68.7% อันดับที่ 3 : ความผันผวนของค่าเงิน และภาวะเงินบาทอ่อนค่า 53.3% อันดับที่ 4 : อุปสงค์ด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ฤดูหนาวในกลุ่มประเทศฝั่งตะวันตก 51.3%

3. ปัจจุบันต้นทุนด้านพลังงานของธุรกิจท่านคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับต้นทุนในการประกอบการ อันดับที่ 1 : ต้นทุนด้านพลังงาน 10-20% 46.0% อันดับที่ 2 : ต้นทุนด้านพลังงาน น้อยกว่า 10% 24.0% อันดับที่ 3 : ต้นทุนด้านพลังงาน 30-50% 20.0% อันดับที่ 4 : ต้นทุนด้านพลังงานมากกว่า 50% 10.0%

4. แนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในเรื่องใด อันดับที่ 1 : ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น 88.0% อันดับที่ 2 : ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น 84.0% อันดับที่ 3 : เกิดภาวะเงินเฟ้อ และกระทบต่อกำลังซื้อ/การบริโภคของภาคเอกชน 34.0% อันดับที่ 4 : ขาดแคลนวัตถุดิบจากจีน จากภาวะขาดแคลนพลังงาน 25.3%

5. ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นอย่างไร อันดับที่ 1 : ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) จนถึงสิ้นปี 2564 66.0% อันดับที่ 2 : ปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงานชั่วคราว 3-6 เดือน เพื่อลดภาระผู้ประกอบการ 56.7% อันดับที่ 3 : จัดสรรงบประมาณหรือใช้เงินกองทุนเพื่อชดเชยและตรึงราคาพลังงานทุกประเภท 54.0% อันดับที่ 4 : ลดอัตราภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมัน LPG และ NGV 53.3%

6. ภาครัฐควรดำเนินนโยบายด้านพลังงานในระยะยาวอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และลดผลกระทบจากราคาพลังงานที่ผันผวน อันดับที่ 1 : ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล 74.7% อันดับที่ 2 : ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 72.7% อันดับที่ 3 : ปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและความร้อน 64.0% อันดับที่ 4 : ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 44.0%

7. ภาคอุตสาหกรรมควรมีการปรับตัวรับมือกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร อันดับที่ 1 : นำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อลดและประหยัดพลังงาน 77.3% อันดับที่ 2 : นำระบบการบริหารจัดการพลังงานมาใช้ ปรับแผนการผลิตและโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุน 73.3% อันดับที่ 3 : การใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน หรือผลิตไฟฟ้าใช้เอง เช่น Solar cell, Biogas, Biomass 71.3% อันดับที่ 4 : สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและเทคนิคการใช้พลังงานอย่างประหยัด 59.3%