นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารคาดการเติบโตของส่งออกไทยในปีนี้และปีหน้า จะขยายตัว 3 % สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน และการบริโภค ควบคู่กับความต้องการจากต่างประเทศในภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งมีแนวโน้มขยายตัว เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง  โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปีหน้า จะขยายตัว 3.2% และการค้าโลกปีหน้า จะขยายตัว 3.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ราว 2.8%

สำหรับตลาดที่มีศักยภาพ ได้แก่ ตลาดเกิดใหม่ อาทิ อินเดีย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนามอาเซียน 5 ประเทศ และตะวันออกกลาง ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 68 สูง โดยสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เครื่องสำอาง อาหารสัตว์เลี้ยง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ค่าระวางและราคาน้ำมันผันผวน ความผันผวนของค่าเงิน และสงครามการค้ารอบใหม่ เป็นผลจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

นายรักษ์ กล่าวว่า  ธนาคารจะเป็นผู้นำผู้ประกอบการไทยรุกตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ  สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในโลกการค้ายุคใหม่ ได้แก่ 1. สินค้าตอบโจทย์ความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งไทยอยู่ในอันดับ 10 ของประเทศผู้ผลิตอาหารต่อคนมากที่สุดในโลก สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ ทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูป น้ำตาลทราย และซาร์ดีนกระป๋อง

ต่อมาเป็นสินค้ารักษ์โลก ได้แก่ เม็ดพลาสติกชีวภาพ และแผงโซลาร์เซลล์ และ 3.สินค้าและบริการที่สร้างความสุขหรือประสบการณ์ใหม่ ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยงเครื่องประดับเงิน เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นอกจากนี้ สินค้าที่มีโอกาสเติบโตในปี 68 ยังได้แก่ สินค้าที่ได้รับผลดีจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้แก่ สินค้าเครื่องปรับอากาศและหม้อแปลงไฟฟ้าที่ไทยอาจสามารถกลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น หากสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้นตามที่ได้เคยประกาศนโยบายไว้

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ของ ธนาคาร ณ สิ้นเดือนพ.ย.นี้ มียอดสินเชื่อคงค้าง179,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงกว่า 190,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ เพิ่มขึ้น6.8% จากปีก่อน ขณะที่หนี้เสียคาดว่าจะอยู่ที่ 3.49% ลดลงถึง 1.2%   เป็นผลจากการติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดของธนาคาร ทำให้คาดว่า ณ สิ้นปีนี้ธนาคารจะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท