สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ว่า สำนักข่าวกลางเกาหลี (เคซีเอ็นเอ) กระบอกเสียงของรัฐบาลเปียงยาง เผยแพร่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือ ว่าสหรัฐ เกาหลีใต้ และอีก 8 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร ตลอดจนสหภาพยุโรป (อียู) ร่วมกัน “บิดเบือนและใส่ร้ายป้ายสี” รัฐบาลเปียงยาง “ซึ่งมีความร่วมมือแบบปกติ” กับรัฐบาลมอสโก
แถลงการณ์โดยกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือระบุด้วยความ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นกับรัสเซีย สามารถ “ยับยั้งเจตนาร้าย” ของสหรัฐและพันธมิตร ที่ต้องการขยายอิทธิพลในยูเครน และในฐานะรัฐเอกราช ความพยายามของเกาหลีเหนือ ในการปกป้องสันติภาพและความมั่นคงทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ “จะไม่มีที่สิ้นสุด” โดยไม่มีการระบุชัดเจน ว่าเป็น “ความร่วมมือลักษณะใด”
ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงด้านความมั่นคงของสหรัฐ ว่า “มีความสูญเสียจำนวนมาก” และ “อาจมากถึงหลักร้อย” เกิดขึ้นกับทหาร
North Korean soldiers killed in Kursk, martial law fallout and Russian trains https://t.co/gO4yLqHmKn
— NK NEWS (@nknewsorg) December 17, 2024
เกาหลีเหนือ ซึ่งสนับสนุนรัสเซีย ในภารกิจสู้รบที่ภูมิภาคเคิร์สก์ ทางตะวันตกของรัสเซีย ซึ่งมีพรมแดนติดกับภาคตะวันออกของยูเครน และทหารยูเครนปฏิบัติการข้ามพรมแดน เมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา โดยแหล่งข่าววิเคราะห์ว่า การที่มีความสูญเสียเกิดขึ้นจำนวนมาก เนื่องจากทหารซึ่งเกาหลีเหนือส่งมานั้น ไม่ใช่กำลังพล “ที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อการสู้รบโดยตรง”
การประเมินดังกล่าวของสหรัฐเกิดขึ้น หลังสำนักข่าวกรองยูเครนกล่าวว่า ระหว่างวันที่ 14-15 ธ.ค. ที่ผ่านมา “เกิดความสูญเสียอย่างมีนัยสำคัญ” กับทหารเกาหลีเหนือราว 30 นาย ระหว่างการสู้รบกับทหารยูเครน ที่หมู่บ้านเปลโคโว โวรอซบา และมาร์ตีนอฟกา ในภูมิภาคเคิร์สก์
รายงานระบุด้วยว่า ตอนนี้ทหารเกาหลีเหนือกำลังมีการสับเปลี่ยนกำลังพลส่วนนี้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลข่าวกรองของสหรัฐ เกาหลีใต้ และประเทศตะวันตกอีกหลายแห่ง ที่ระบุว่า เกาหลีเหนือส่งทหารไม่ต่ำกว่า 10,000 นาย เพื่อสนับสนุนการสู้รบของรัสเซียในยูเครน
ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ว่า รัสเซียเริ่มใช้ทหารเกาหลีเหนือ ในปฏิบัติการโจมตีโต้กลับทหารยูเครน ตามฐานประจำการในภูมิภาคเคิร์สก์.
เครดิตภาพ : AFP