เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่สำนักงาน กสทช. นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีมีการร้องเรียน บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (บริษัท เคโฟร์ฯ) เกี่ยวกับการลงทุนตู้เติมเงินที่ใช้ชื่อ “เคธี่ปันสุข” ที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยบริษัทมีการตั้งกลุ่มไลน์โฆษณาชักชวนให้ลงทุน และแจ้งกับสมาชิกในกลุ่มไลน์ว่า บริษัทได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน กสทช. เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน นั้น ทาง สำนักงาน กสทช. ได้เร่งตรวจสอบควบคู่ไปกับการออกข่าวประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ในเดือน ก.ค. 67 พร้อมทั้งมีการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมสอบคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และได้ให้บริษัท เคโฟร์ฯ เข้าชี้แจง เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงต่อเนื่อง
“จากการตรวจสอบธุรกิจของ เคโฟร์ฯ เป็นผู้ได้รับใบอนุญาต เพื่อให้บริการขายต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน หรือบริการ MVNO จาก กสทช. แต่ธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจตู้เติมเงินชื่อ “เคธี่ปันสุข” และบริการเติมเงินค่าโทรศัพท์ ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน กสทช. แต่ต้องขอใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ขณะที่ธุรกิจขายตรงอยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง”
นายไตรรัตน์ กล่าวต่อว่า สำนักงาน กสทช. ได้มีการตรวจสอบข้อมูลการประกอบกิจการโทรคมนาคมของบริษัท เคโฟร์ฯ พบว่า ปัจจุบันบริษัท เคโฟร์ฯ ได้รับจัดสรรประมาณ 331,000 เลขหมาย โดยช่วง 3 เดือนหลัง ได้แก่ เดือน ก.ย. 67 มีเลขหมายที่ใช้งานจริงประมาณ 33,000 เลขหมาย มียอดการเติมเงินออนไลน์ประมาณ 1,286,000 บาท เดือน ต.ค. 67 มีเลขหมายใช้งานจริงประมาณ 42,000 เลขหมาย ยอดการเติมเงินออนไลน์ประมาณ 1,020,000 บาท และเดือน พ.ย. 67 ใช้งานจริงประมาณ 46,000 เลขหมาย ยอดการเติมเงินออนไลน์ 1,742,000 บาท ซึ่งหากนำยอดการใช้จ่ายจริงในเดือน พ.ย. มาคำนวณจะพบว่ามีการเติมเงินเฉลี่ยเพียงเลขหมายละ 38 บาทเท่านั้น

นอกจากนี้ ในปี 66 บริษัท เคโฟร์ฯ ได้ชำระค่าธรรมเนียมจากการประกอบกิจการโทรคมนาคมให้กับสำนักงาน กสทช. เพียง 7,000 บาท ซึ่งคำนวณจากรายได้ประกอบกิจการโทรคมนาคมประมาณ 5 ล้านบาท จึงมีข้อสังเกตว่าในการประกอบกิจการโทรคมนาคม ระหว่างปี 66-67 บริษัท เคโฟร์ฯ มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจาก 5 ล้านบาทในปี 65 เป็น 500 ล้านบาท ในปี 67 การเพิ่มทุนจดทะเบียนดังกล่าวจะต้องพิจารณาต่อไปว่าการประกอบธุรกิจดังกล่าวนั้นมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายจูงใจให้ผู้ใช้บริการของตนโดยมอบผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ใช้บริการอันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์อื่นใดนอกเหนือจากการให้บริการโทรคมนาคมตามประกาศ กสทช.หรือไม่
“จากการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบศูนย์บริการของ เคโฟร์ ของสำนักงาน กสทช. ภาค และสำนักงาน กสทช. เขต พบว่า ศูนย์บริการบางแห่งมีการปิดล็อกประตูเข้า-ออก บางแห่งพบว่ามีตู้เติมเงิน แต่มีสภาพที่ไม่พร้อมใช้งาน บางแห่งไม่พบตู้เติมเงินแต่อย่างใด จากที่ได้แจ้งว่ามีตู้เติมเงิน 15,000 ตู้ และมีการโฆษณา การซื้อหุ้น 5 หมื่นบาท เสนอปันผลในทุกวัน วันละ 300 บาท และเมื่อโทรฯ สอบถามได้รับแจ้งจากผู้ดูแลศูนย์บริการว่ายังคงเปิดให้บริการ และมีการขายซิมการ์ดอยู่ สำนักงาน กสทช. ได้สั่ง บริษัท เคโฟร์ฯ ให้หยุดจำหน่าย หรือแจกซิมการ์ด ในระหว่างรอผลตรวจสอบจากหน่วยงานต่างๆ แล้ว”
นายไตรรัตน์ กล่าวต่อว่า “ในประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนจำนวนมากเป็นเรื่องที่ผิดปกติหรือไม่ ต้องเป็นหน้าที่ของ ปปง. และดีเอสไอ เป็นผู้ตรวจสอบ โดยทางสำนักงานฯ ได้ยื่นเรื่องต่อดีเอสไอ สคบ. ปปง. ธปท. เพื่อให้แต่ละหน่วยงานดำเนินในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว และหากผลการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายและประกาศของ กสทช.นั้น ก็จะมีการลงโทษทางปกครอง ตั้งแต่พักใบใช้ และเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป ซึ่งก็จะมีมาตรการเยียวยาลูกค้าที่มีการใช้งานอยู่ประมาณ 46,000 เลขหมายต่อไป”