เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ผลการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. …. ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม สส. และ สว. ซึ่งมติของวิปรัฐบาลให้โหวตสนับสนุนการทำประชามติชั้นเดียว แต่พรรคภูมิใจไทยกลับโหวตสวนมติวิปรัฐบาล จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเป็นเอกภาพและความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล และมีผู้สื่อข่าวถามเรื่องนี้กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าจำเป็นต้องคุยกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบว่าไม่ต้อง ให้เป็นไปตามกระบวนการสภา เพราะ สส.พรรคเดียวกันก็คิดไม่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรการบริหารงานเราร่วมมือกันอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการตอบคำถามแบบเดิมๆ ของ น.ส.แพทองธาร คือลอยตัว ตีกรรเชียง หนีการตอบคำถามอยู่เป็นประจำ ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่าผลการลงมติดังกล่าวคืออีกรูปธรรมหนึ่งของการเมือง 3 ก๊ก พรรคร่วมรัฐบาลสำคัญโหวตไปอีกทางที่ตรงกับ สว. จากกติกาของก๊กอนุรักษนิยม ซึ่งเป็นการพาดพิงพรรคภูมิใจไทย
นายเทพไท กล่าวอีกว่า สำหรับเพจของพรรคเพื่อไทยโพสต์ข้อความว่าอย่าไปหลงคารมอีแอบที่ล็อกโหวต 2 ชั้น มิฉะนั้น ชาติหน้าก็ไม่ได้แก้ ซึ่งเป็นการหยิบยกคำว่า “อีแอบ” ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เคยพูดไว้ในการสัมมนาพรรคเพื่อไทยว่าไม่ชอบพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นอีแอบ ดังนั้นการที่พรรคเพื่อไทยหยิบยกคำว่า “อีแอบ” มาโพสต์ เป็นการยืนยันคำพูดของนายทักษิณที่พาดพิงถึงพรรคภูมิใจไทยแบบเต็มๆ ต่อมา นายอนุทินได้ตอบคำถามกรณีที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหาเป็นอีแอบว่าคงอารมณ์ค้างในเรื่องอื่นๆ คนที่เหน็บแนม เมื่อเจอกันก็กอดกันทุกที ซึ่งเป็นการเหน็บแนมกลับไปยังพรรคเพื่อไทย ดังนั้น จากท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ทำให้เห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยของความขัดแย้ง และความไม่พอใจต่อกัน แต่พยายามปกปิดไม่ให้เกิดภาพความขัดแย้งต่อสาธารณชน แม้ น.ส.แพทองธาร ปฏิเสธเรื่องนี้ว่าไม่เป็นไร แต่นายทักษิณคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง คงไม่ยอมให้พรรคภูมิใจไทย แสดงบทอีแอบอยู่บ่อยๆ ซึ่งจะเกิดรอยร้าวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งอาจขยายผลถึงขั้นแตกหักก็ได้
แม้ว่าจะพยายามปกปิดอย่างไร ก็ไม่สามารถปกปิดรอยร้าวนี้ได้ เหมือนกับคำสุภาษิตที่กล่าวว่า ‘อันถ้วยโถโอร้าว เอากาวติด ถึงสนิทก็ยังเห็นว่าเป็นแผล’ นายเทพไท กล่าว