เป็นอีกหนึ่งตัวมัมตัวแม่สุดแซ่บ “แอร์ ภัณฑิลา” ที่ขอควงลูกสาว“น้องฑิลาร์”มาอวดความน่ารักและอัพเดทพัฒนาการในวัย 1 ขวบ 4 เดือน ผ่านรายการคุยแซ่บShow พร้อมตอบกระแสดราม่าเลี้ยงลูกยังไงให้น้ำหนักเยอะเกินเกณฑ์และกับดราม่าเสียงดังจนทำให้ลูกสาวร้องไห้ปล่อยโฮกลางวงสัมภาษณ์ เปิดใจเรื่องภาวะซึมเศร้าหลังคลอที่ทำให้คิดหนักถึงขั้นอยากจบชีวิต โดยแอร์เผยว่า

“ไปเรียนจิตวิทยา เพราะเราสนใจในเรื่องของจิตวิทยาอยู่แล้ว แอร์มั่นใจว่าแม่ทุกคนอยากเลี้ยงลูกให้ดี แต่บางทีที่เราเสพอะไรเยอะๆหรือเข้าไปในโซเชียลก็จะมีหลายกระแสที่เราเอ๊ะจริงหรือเปล่า ถ้างั้นเราคงหาคนที่มาบอกเราได้เลยว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำหรือควรจะมีแนวทางแบบไหนเลยไปสมัครเรียนเลยแต่เป็นคอร์สออนไลน์แต่สามารถเก็บหน่วยกิตเป็นปริญญาโทได้ ผลที่เรียนออกมาแอร์เคยแชร์ไปแล้ว ก็จะมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่ได้เห็นด้วย ถ้าใครรู้สึกว่าสามารถนำไปปรับใช้ได้ก็นำไปปรับใช้ หาตรงกลางของแต่ละบ้านให้เจอเพราะบริบทของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน แอร์จะมีอย่างนึงที่ไปเรียนมาในเทคนิค 101 ของอาจารย์หม่อมปนัดดา มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์หม่อมก็จะบอกว่าเราสามารถสร้างวินัยเชิงบวกให้กับลูก เราเก็บคำพูดคำว่า ไม่ ห้าม อย่า หยุด เอาไว้กับสิ่งที่เรารู้สึกว่าอันนี้ไม่ได้ ขีดเส้นใต้ว่าสิ่งนี้ไม่ได้เอาไว้ในยามที่เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เราจะไม่ห้ามลูกแบบพร่ำเพรื่อ ถ้าห้ามทุกๆอย่างเด็กก็จะมีความเสียเซลฟ์ พอจะทำแม่ห้ามอีกแล้ว เลยรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างให้เขาเรียนรู้เองบ้าง ถ้าอันไหนที่รู้สึกว่าเป็นอันตรายต่อเขา ต่อคนอื่น ต่อข้าวของอันนี้ห้าม ไม่ อย่า หยุด ได้เลย”

“มีแบ่งการเลี้ยงเป็นสองฝั่งคือฝั่งสายสปอยล์กับสายเข้มงวดแอร์จะเป็นสายกลางๆ สิ่งที่แอร์อยากได้จากทุกคนในบ้านเป็นเรื่องที่ชิลมากๆ ขอแค่ไม่ขู่ลูกอะไรที่ไม่จริง แล้วก็ไม่โกหกเด็ก เช่น ถ้าไม่นอนเดี๋ยวตำรวจมาจับ จะขอแค่เรื่องง่ายๆแค่นี้ แต่มีสิ่งที่แอร์ห้ามไม่ได้นั่นคือเรื่องการกิน จะมีแบ่งฝั่งนะอย่างแอร์ สามีแอร์ พี่เลี้ยงก็จะอยู่ฝั่งเดียวกัน ฝั่งเข้มงวดนิดหน่อย แต่จะมีอาม่า อากง อาอี๊ บางอันรู้สึกว่ามันอันตราย เช่นคุณหมอจะบอกว่าในวัยนี้ยังไม่อยากให้กินของกลม ของเหนียว ของแข็ง เพราะระบบกลืนเขาอาจจะยังไม่ได้เก่งเท่าผู้ใหญ่ วันนึงอาม่าก็หยิบกล้วยฉาบ กล้วยเชื่อมให้เลย แต่ละช่วงวัยเขาจะมีบอกเลยว่าให้หั่นอาหารแบบไหน อะไรทานได้อะไรทานไม่ได้ แอร์ยังอยากให้ลูกทานอาหารที่เป็นรสชาติของเด็กอยู่นะยังไม่อยากให้กินอะไรที่เป็นรสชาติของผู้ใหญ่ตอนนี้ตั้งธงในการสอนลูก เลี้ยงดูลูก ณ ตอนนี้ แอร์เป็นคนเลี้ยงลูกค่อนข้างชิล สิ่งที่อยากให้เขาเป็นในตอนโตแอร์อยากให้เขาปรับตัวง่ายอยู่กับสภาพแวดล้อมไหนก็ได้ ลำบากบ้าง สบายบ้าง บางครั้งบางโอกาส อยากให้เป็นเด็กที่เป็นคนรักตัวเองให้เป็นมีจิตใจที่เข้มแข็งในอนาคต วันนี้เรามองไปอีก 20 ปีข้างหน้าก็ไม่รู้หรอกอนาคตจะเป็นยังไง แอร์อยากให้เขารักตัวเองเป็น ปรับตัวได้ง่ายๆ แค่นั้นก็เพียงพอ”

แอร์ เผยต่อว่า”เป็นเรื่องปกติ ตอนแรกๆจะมีดราม่าเลี้ยงยังไงให้ลูกอ้วนเกินไป ตอนนั้นก็เพิ่งคลอดลูกแล้วเราก็มือใหม่มากๆ ตอนนั้นอยู่ในสภาวะที่กดดันตัวเองอยู่แล้ว ต้องทำยังไงอะไรคือถูกอะไรคือดีสำหรับลูกเราก็พยายามทำเต็มที่ สุดท้ายเหมือนมีคนมาตัดสิน ณ วันนั้นแอร์รู้สึกเครียดกดดันและรู้สึกเสียใจ ตอนนั้นอาจจะมีภาวะเพิ่งคลอดลูกมาก็เลยรู้สึกเสียใจจังเลยฉันเป็นแม่ที่ไม่ดีหรอ มีร้องไห้บ้าง พอกลับมาดู ณ วันนี้พอมองย้อนกลับไปมันเฉยมาก มันไม่มีอะไรเลย  ได้ปรึกษาหมอปรึกษาค่ะ จริงๆแล้วพอมีอะไรก็ตามปรึกษาหมอก่อนเลย คุณหมอเขาก็จะมีกราฟแล้วก็ติ๊กส่วนสูงเท่าไหร่เราเห็นอยู่แล้ว คุณหมอพูดว่าคุณแอร์ถ้าลูกทานได้ให้ทานเลยวันนึงถ้าเขาไม่ทานแล้วคุณแอร์จะเครียด คุณหมอบอกว่าเด็กถ้าเขาได้วิ่งเดี๋ยวเขาก็จะน้ำหนักลดมีช่วงนึงเขาติดเล่นเขาก็จะทานน้อยลงไปอีก คุณแอร์ทานได้ทานไปเลยอย่าห้ามลูก”

“ล่าสุดอุ้มฑิลาร์ไปด้วยแล้วฑิลาร์ร้องไห้ เอาจริงๆแอร์ก็ยังไม่เห็นนะทุกวันนี้แต่มีคนมาถาม มีนักข่าวมาถามมันมีดราม่าน้องร้องไห้เพราะแม่เสียงดัง เอาจริงๆวันนั้นน้องเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศแล้วก็ไม่สบายเหนื่อยด้วย แล้วก็ก่อนหน้าที่จะไปอีเว้นท์นี้ไปโรงพยาบาลมาแล้วเอาน้ำเกลือมาฉีดล้างจมูก อากาศมันเปลี่ยนน้องมีความไม่สบายตัวอยู่แล้ว คอมเม้นท์ที่เขาบอกว่าดราม่าไม่เห็นดราม่านั้นนะ ก็ไม่ได้มีอะไร รู้สึกเป็นธรรมชาติของเด็ก”

แอร์เล่าต่ออีกว่า “หลังคลอดลูกมาเห็นว่ามีภาวะมาม่าบลูถึงขั้นอยากจะตายเลย รู้ว่าแม่ๆคนอื่นเป็นหรือเปล่าแต่รู้สึกว่าเป็นภาวะที่เราพักผ่อนไม่เพียงพอด้วยบวกกับความกดดันความเครียดต่างๆทำให้เรารู้สึกว่ามันเหมือนหลอนเสียงนาฬิกาปลุกที่เราจะต้องปลุกทุก 3 ชั่วโมงเพื่อปั๊มนม หลับแต่ละครั้งเหมือนไม่ได้นอนจริงๆเหมือนหลับไม่สนิท ทุกครั้งที่เราได้นอนไปเหมือนเตียงมันดูดเหมือนร่างจะหลุดออกไปแล้ว เหนื่อยสุดๆรู้สึกเหมือนหลับนะแต่เได้ยินลูกร้องตลอดเวลา แต่ยินเสียงนาฬิกาปลุกว่าต้องตื่นอีกแล้วตลอดเวลา รู้สึกเหมือนจะตาย ไปหาคุณหมอมา คุณหมอก็บอกว่าคุณแอร์เป็นยังไงบ้างเหนื่อยมั้ย พอได้ยินคำว่าเหนื่อยมั้ยร้องไห้เลย มันคงเป็นความสะสม ความกังวล ความกดดันของเรา แพลนลูกคนที่ 2 จริงๆอยากมีแล้วก็คิดว่าจะมีแน่นอน รู้สึกว่าอยากส่งฑิลาร์เข้าโรงเรียนไปก่อน ถ้าจะมีก็อยากจะเป็นผู้ชายซักคน อยากบอกฑิลาร์ว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรขอให้เขาได้รู้ว่ายังมีแม่คนนี้อยู่ข้างๆเสมอ แอร์ก็อยากจะเป็นแม่ที่อยากจะรับฟังเขาในทุกๆเรื่องของชีวิต ถ้าวันใดเขามีปัญหาขึ้นมาก็อยากให้นึกถึงแอร์เป็นคนแรกๆ อยากให้เขารู้ว่าชีวิตนี้มั่นใจว่าไม่มีใครรักเขาได้มากกว่าแอร์”

ขอบคุณภาพประกอบจากรายการ:คุยแซ่บShow