สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ว่าทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำหนดวันจัดรัฐพิธีศพให้แก่อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ในวันที่ 9 ม.ค. นี้ โดยในวันดังกล่าวถือเป็นวันไว้อาลัยทั่วประเทศด้วย ขณะที่นับตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันถึงแก่อสัญกรรมของคาร์เตอร์ สถานที่ราชการทุกแห่งของสหรัฐลงธงชาติลงครึ่งเสา


ขณะที่ในวันเสาร์ที่ 4 ม.ค. นี้จะมีขบวนนำร่างของคาร์เตอร์เดินทางรอบเมืองเพลนส์ ในรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นบ้านเกิด ไปยังฟาร์มเกษตรซึ่งเป็นบ้านสมัยเด็ก แล้วเดินทางต่อไปยังเมืองแอตแลนตา เมืองเอกของรัฐจอร์เจีย


หลังจากนั้น จะมีการตั้งศพของคาร์เตอร์ไว้ที่ศูนย์คาร์เตอร์ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่อดีตผู้นำสหรัฐผู้ล่วงลับก่อตั้งขึ้น ก่อนมีการเคลื่อนศพมายังกรุงวอชิงตัน ในวันที่ 7 ม.ค. นี้ เพื่อพิธีเคารพศพ และการประกอบพิธีทางศาสนา ที่มหาวิหารแห่งชาติ ในกรุงวอชิงตัน แล้วจึงมีการเคลื่อนย้ายศพของคาร์เตอร์ไปฝังที่เมืองเพลนส์ ในวันที่ 9 ม.ค.


ทั้งนี้ คาร์เตอร์ เกิดเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2467 ที่เมืองเพลนส์ ในรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นผู้นำคนที่ 39 ของสหรัฐ ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ ที่บ้านพักในเมืองเพลนส์ ที่รัฐจอร์เจีย เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ที่ผ่านมา รวมอายุได้ 100 ปี


ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ ระหว่างปี 2520-2524 คาร์เตอร์เป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม และสิทธิมนุษยชน สมัยที่คาร์เตอร์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย รวมถึงการให้ความช่วยเหลือตัวประกันนักการทูตสหรัฐและพลเมืองอเมริกันรวม 52 คน ในอิหร่าน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการปฏิวัติอิหร่าน เมื่อปี 2523

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของวิกฤติน้ำมันโลก การที่สหรัฐเป็นคนกลางให้อิสราเลและอียิปต์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และการลงนามกับปานามา ในการถ่ายโอนกรรมสิทธิคลองปานามา


เมื่อหมดวาระการดำรงตำแหน่ง คาร์เตอร์ก่อตั้งมูลนิธิคาร์เตอร์ เมื่อปี 2525 และคาร์เตอร์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อปี 2545.

เครดิตภาพ : AFP