แม้ผลการเลือกตั้งที่ออกมา “เป็นประวัติศาสตร์” เช่นกัน แต่คือการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมกลับคืนสู่ทำเนียบขาว ในฐานะผู้นำสหรัฐสมัยที่สอง และที่สำคัญคือ ทรัมป์ได้รับความนิยมมากขึ้น ในกลุ่มผู้ใช้สิทธิที่เป็นผู้หญิงด้วย

น.ส.แคเธอรีน มิกเคลสัน วัย 20 ปี นักศึกษาสาวจากรัฐเซาท์ดาโกตา กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกตั้งผู้นำประเทศ คือเรื่องเศรษฐกิจและปากท้อง มากกว่าเรื่องเพศ มิกเคลสันกล่าวว่า เธอคาดหวังให้สหรัฐมีประธานาธิบดีหญิงเหมือนผู้หญิงอเมริกันจำนวนมาก แต่ในการลงคะแนน ไม่ใช่ว่าหลับหูหลับตาเลือก เพียงเพราะผู้สมัครคนนั้นเป็นผู้หญิง

นายโดนัลด์ ทรัมป์ และนางเมลาเนีย ทรัมป์

ด้านผลสำรวจความคิดเห็นโดยสำนักข่าวเอพี ร่วมกับศูนย์วิจัยโหวตแคสต์ พบว่า มีเพียง 1 ใน 10 ของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น ที่ให้ความสำคัญกับ “การต้องเลือกแฮร์ริส” ให้ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ “เพราะเป็นผู้หญิง” ขณะที่อีก 25% กล่าวว่า “เป็นปัจจัยสำคัญ แต่ไม่ถึงขนาดนั้น”

แม้ทรัมป์หาเสียงตามแนวอนุรักษนิยมแบบ “ชายเป็นใหญ่” มาตลอด และใช้วาทกรรมว่า “จะดูแลประชาชนหญิงทุกคน ไม่ว่าพวกเธอจะชอบหรือไม่” แต่ชาวอเมริกันมองว่า ถ้อยคำรุนแรงเรื่องเพศของทรัมป์ “น่ากังวลน้อยกว่า” เมื่อเทียบกับปัญหาอื่น

นางคริสซี บันเนอร์ วัย 56 ปี จากรัฐเซาท์แคโรไลนา กล่าวว่า สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการชี้นำประชาชน ทั้งที่การผลักดันของทรัมป์ เพื่อยกระดับการป้องกันพรมแดน และการห้ามนักกีฬาข้ามเพศแข่งขันในกีฬาของผู้หญิง จะเป็นประโยชน์กับผู้หญิงทุกคนในสหรัฐ

ขณะที่น.ส.เวอร์จิเนีย คิง วัย 19 ปี จากเมืองดัลลัส ในรัฐเทกซัส กล่าวว่า ทรัมป์เป็นนักการเมืองที่พูดในสิ่งที่คิด และทำในสิ่งที่คิด ซึ่งนักการเมืองหลายคนยังไม่กล้าขนาดนั้น ทรัมป์อาจมีบุคลิกภาพที่หลายคนไม่ชอบ แต่สำหรับเธอ เรื่องนั้นไม่ใช่เหตุผล

จนถึงตอนนี้ ความพ่ายแพ้ของแฮร์ริสยังคงเป็นเรื่องที่พรรคเดโมแครตต้องขบคิด ว่าเกี่ยวข้องกับประเด็น “ความเป็นผู้หญิง” มากน้อยเพียงใด เพราะเป็นครั้งที่สองแล้ว ซึ่งพรรคเดโมแครตส่งตัวแทนเป็นผู้หญิง และเรื่องนี้น่าจะมีผลต่อการตัดสินเลือกตัวแทนพรรค ในการเลือกตั้งปี 2571

นางฮิลลารี คลินตัน

คนแรกคือนางฮิลลารี คลินตัน เมื่อปี 2559 ที่เธอต่อสู้กับทรัมป์ ท่ามกลางความคาดหวังของหลายฝ่ายในเวลานั้น ว่าคลินตันมีโอกาสสูงมาก ที่จะสร้างประวัติศาตร์ เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอเมริกา แต่คลินตันพ่ายแพ้ “อย่างพลิกความคาดหมาย” ให้กับทรัมป์

ทั้งนี้ แฮร์ริสแทบไม่พูดถึงเรื่องเพศในการหาเสียง ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยืนของเจ้าตัวว่า ต้องการให้ทุกคนมองข้ามเรื่องนั้น แล้วมาแข่งขันกันที่วิสัยทัศน์และนโยบาย การวิเคราะห์เกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของเธอ จึงพุ่งเป้าไปที่การจัดทำแคมเปญ และการเลือกตัวผู้ลงสมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ซึ่งหลายฝ่ายในพรรคเดโมแครตมองว่า แฮร์ริสตัดสินใจพลาด ที่เลือกนายทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา แทนนายจอช ชาปิโร ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนีย ที่เป็นหนึ่งในรัฐสวิงสเตตของการเลือกตั้ง

นางกมลา แฮร์ริส

นางอแมนดา ฮันเตอร์ ผู้อำนวยการบริหารของมูลนิธิครอบครัว บาร์บารา ลี กล่าวว่า การเลือกตั้งในปี 2567 ไม่เหมือนกับปี 2559 ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งแสดงความกังวลอย่างชัดเจน ในประเด็นเศรษฐกิจ อาชญากรรม และความมั่นคง มากกว่าแค่เรื่องสิทธิในการทำแท้ง ซึ่งทรัมป์ “ตอบโจทย์ได้ดีกว่า”

ขณะที่แฮร์ริสซึ่งเน้นหาเสียงด้วยเรื่องนี้ เพื่อหวังดึงความสนับสนุนจากผู้หญิง แต่กลับกลายเป็นว่า เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ซึ่งได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากผู้หญิงน้อยที่สุด นับตั้งแต่ปี 2547 จากการสำรวจและวิเคราะห์โดย ศูนย์สตรีและการเมืองอเมริกัน ของมหาวิทยาลัยรัตเจอร์ส ในรัฐนิวเจอร์ซีย์

นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐสองสมัย กล่าวเมื่อไม่นานมานี้ ว่าโดยส่วนตัวเขายังคงเชื่อมั่น ว่าสักวันหนึ่งอเมริกาจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้หญิง แต่น่าจะเป็นผู้หญิงที่มี “ความเป็นอนุรักษนิยมมากกว่านี้” .

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES