กรณีตำรวจวิสามัญผู้ป่วยด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสุรินทร์ อาละวาดใช้อาวุธขวานจากที่เก็บไว้เป็นอุปกรณ์ดับเพลิง ไล่ทำร้ายพยาบาล ผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย และทรัพย์สินทางราชการ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 ม.ค. เวลา 14.10 น. เบื้องต้นพบผู้ป่วยมีประวัติเคยรักษาอาการจิตเวชและเสพยาเสพติด ถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลอำเภอ มารักษาโรคไส้ติ่ง ที่โรงพยาบาลสุรินทร์
ความคืบหน้า 4 ม.ค. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านอุดม ต.ชุมแสง อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านของนายอภิชัย ชมพู (ผู้เสียชีวิต) อายุ 26 ปี โดยบรรยากาศภายในงานพบว่ามีญาติและชาวบ้านจำนวนมาก มาช่วยกันจัดของเซ่นทำพิธีตามประเพณี และเป็นที่โศกเศร้าของญาติพี่น้อง ผู้สื่อข่าวพบนายอัมรินทร์ ชมพู (พี่ชายผู้เสียชีวิต) อายุ 36 ปี และคุณแม่นางปราณี บันเทิงใจ อายุ 56 ปี นั่งอยู่กับญาติพี่น้องและชาวบ้านในอาการที่โศกเศร้า
สอบถาม นายอัมรินทร์ ชมพู พี่ชายผู้เสียชีวิต เล่าว่า นายอภิชัยนั้นเป็นน้องชายตน ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาที่โรงพยาบาลสุรินทร์ นายอภิชัย ได้มีอาการชักและปวดท้องมาก จึงได้ส่งมาที่โรงพยาบาลอำเภอจอมพระ จ.สุรินทร์ ซึ่งแพทย์ได้แจ้งว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ จึงได้นอนพักรักษาตัวอยู่ 1 คืน

จากนั้นได้ส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ซึ่งได้ผ่าตัดไส้ติ่งเสร็จ และนอนพักฟื้นที่อาคารดังกล่าว ซึ่งตนไม่รู้ว่าน้องชายเบลอยาที่หมอให้หรือเปล่า ถึงได้ก่อเหตุครั้งนี้ ตนขอบอกว่าน้องชายตนเคยเสพยาเมื่อปี 58 และได้เลิกเสพมาได้ 7 ปีแล้ว และน้องชายตนไม่ใช่เป็นผู้ป่วยจิตเวชตามที่กล่าวอ้าง นิสัยน้องตนชอบร่วมกิจกรรมกับชาวบ้านชาวชุมชน เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน และเป็นนักกีฬาฟุตบอลของตำบล ในตำแหน่งมือโกล หรือผู้รักษาประตู
โดยในวันนี้ นพ.ชวมัย สืบนุการณ์ ผอ.โรงพยาบาล พร้อมกับ พล.ต.ต.สุคนธ์ ศรีอรุณ ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ มาเป็นเจ้าภาพงานศพนายอภิชัย ซึ่งการตายของน้องชายตนนั้น ตนยังคาใจว่าตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่นั้น ตำรวจต้องให้ตนดูกล้องวงจรปิดหรือกล้องเว็บแคมเพื่อความบริสุทธ์ใจ
ด้านนางปราณี บันเทิงใจ แม่ผู้เสียชีวิต อายุ 56 ปี เล่าว่า วันเกิดเหตุ นายอภิชัยผ่าตัดไส้ติ่งเสร็จก็นอนพักดูอาการ ซึ่งผู้เสียชีวิตบอกว่าเจ็บแผลผ่าตัดมาก ทางพยาบาลก็ได้ฉีดยาแก้ปวดให้ หลังจากนั้นนายอภิชัย เริ่มมีอาการถามว่าที่นี่ที่ไหน แล้วคนเดินใช่คนหมู่บ้านเราไหม จากนั้นนายอภิชัย ได้เอะอะโวยวายและก็เดินไปมา ซึ่งช่วงนั้นลูกของแม่จำแม่ไม่ได้แล้ว โดยทางพยาบาลได้โทรฯ เรียก รปภ.โรงพยาบาล ขึ้นมาช่วยพร้อมกับแม่ จึงรีบเดินออกมานอกห้อง ครั้งสุดท้ายเห็นลูกชายถือขวานอยู่ที่มือขวา และเสียงร้องของพยาบาลที่อยู่ในห้องดังขึ้น ตนไม่กล้าเข้าไป ได้แต่เรียกเท่านั้น เนื่องจากอาการลูกชายจำแม่ไม่ได้
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง ก็เข้าไปในห้อง และได้ยินเสียงตำรวจตะโกนว่าให้วางอาวุธ สักพักแม่ก็ได้ยินเสียงปืน 4 นัดขึ้น ก็คิดแล้วว่าลูกชายถูกวิสามัญแล้ว รู้สึกเสียใจมากที่ว่าลูกชายเป็นผู้ป่วยติดยาและเคยมีประวัติเสพยา ซึ่งลูกชายเคยเสพยา แต่ก็เลิกมาแล้ว 7 ปี ซึ่งลูกชายแม่แค่มีโรคเป็นโรคลมชัก และตั้งแต่เลิกยามาก็หันมาเล่นกีฬาฟุตบอล มีตำแหน่งมือโกล และเป็นที่รักของชาวบ้าน มักเข้าร่วมทำกิจกรรมของชาวบ้านตลอดมา จึงอยากขอความเป็นธรรมให้ลูกชายตนด้วย เพราะลูกชายตนไม่เคยมีอาการคลุ้มคลั่งหรือทำร้ายใครมาก่อนเลย มีบ้างที่ดื่มสุราเท่านั้น

ด้านนางชิน เพื่อนบ้าน เล่าว่า ผู้ตายนั้นเป็นที่รักของชาวบ้าน เพราะมีงานกิจกรรมอะไร ผู้ตายจะเข้าร่วมงานช่วยเหลือตลอด และมีกีฬาหมู่บ้านก็จะมาร่วมแข่งกีฬาฟุตบอล ก็ไม่คิดว่าจะมาเสียชีวิตแบบนี้ เพราะเท่าที่อยู่ในหมู่บ้าน ไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลย
พล.ต.ต.สุคนธ์ ศรีอรุณ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า วานนี้ ช่วงบ่าย 2 เศษ ตำรวจสายตรวจ 191 ได้เข้าไประงับเหตุ โดยขณะนั้นมีทั้งแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วยและญาติจำนวนมากวิ่งหนีออกมาจากชั้น 4 มาหลบตรงระเบียงบันได เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าผู้ก่อเหตุ พร้อมด้วยเสาน้ำเกลือ ได้ทุบทำลายสิ่งของ ของ รพ.สุรินทร์ ก่อนทุ่มถังดับเพลิงใส่ผู้ป่วยที่นอนติดเตียง โชคดีไม่ระเบิด ก่อนดึงขวานขนาดใหญ่ซึ่งใช้สำหรับดับเพลิง ทำลายสิ่งกีดขวางออกมา ตำรวจพยายามออกคำสั่งให้วางอาวุธถึง 3 ครั้ง ก่อนถอยร่นออกมา แต่ผู้ก่อเหตุยังคลุ้มคลั่งอย่างรุนแรง ปรี่เข้าหาเจ้าหน้าที่ 2 นาย จึงต้องใช้อาวุธปืนประจำกายยิงสกัดยับยั้งผู้ก่อเหตุ เพื่อป้องกันตัว ถูกที่ขา มือ หน้าท้อง และอก ก่อนสงบลง แพทย์พยาบาลจึงรีบเข้าช่วยเหลือนำตัวเข้าการรักษาอย่างเร่งด่วน แต่ด้วยระยะประชิดถูกจุดสำคัญ ผู้ก่อเหตุทนบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ตนเองได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.กิติเชษฐ์ ศักยภาพวิชานนท์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรสุรินทร์ เป็นหัวหน้าชุดในการสอบสวนคดี และให้ พ.ต.อ.วีระพันธ์ ณ ลำปาง ผกก.สภ.เมืองสุรินทร์ เข้าไปคุยกับญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งด้านมนุษยธรรม ตนเองก็จะเดินการให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย รวมถึงค่าทำศพ ซึ่งในส่วนของรูปคดีนั้น ทั้งกล้องวงจรปิดในโรงพยาบาล ขอให้เป็นไปในรูปของการสอบสวน ส่วนการใช้ยามอร์ฟีนนั้น เป็นเรื่องปกติของการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม จะทบทวนการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ สภ. ให้กระชับขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าเป็นไปด้วยดี
ส่วนเรื่องผู้ป่วยจิตเวช มีข้อมูลว่ามีผู้ป่วยถึง 10,000 ราย แบ่งเป็นเขียว เหลือง แดง ส่วนการเกิดเหตุครั้งนี้ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เนื่องจากมารดาอยู่ในเหตุการณ์ ยังวิ่งหนีออกมา ดังนั้นเรื่องการติดใจการระงับเหตุจนทำให้ลูกชายเสียชีวิตก็เป็นธรรมดา ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน