เมื่อวันที่ 13 ม.ค. นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการปรับปรุงแก้ไขร่างพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. … (พ.ร.บ.อุ้มบุญ) เพื่อรองรับการมีบุตรตาม พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม พ.ศ. … ว่า การแก้ไขร่างพ.ร.บ.อุ้มบุญตอนนี้ทางกรมได้มีการนำเสนอไปยัง รมว.สาธารณสุข เพื่อพิจารณานำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ทราบว่า ทางฝ่ายกฎหมายสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งยังไม่ทราบว่า จะเสนอเข้า ครม.ได้เมื่อไหร่ ซึ่งตามกระบวนการ หากผ่าน ครม.แล้ว ก็จะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาในสภาต่อไป ไม่สามารถทราบได้ว่าจะเร็วหรือช้า 

นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของการแก้ไขหลักๆ เช่น นิยาม จากเดิมที่ใช้คำว่าสามี ภรรยา หรือสามี ภริยา จะเปลี่ยนเป็น คู่สมรสตามนิยามของ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม รวมถึงเดิมมีเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องที่กำหนดให้ต้องเป็นสามีภริยาที่เป็นเพศชายกับเพศหญิง แต่ฉบับใหม่ไม่ได้มีเงื่อนไขเรื่องของเป็นคู่สมรสผู้ชาย-ผู้หญิง ผู้ชาย-ผู้ชาย หรือผู้หญิง-ผู้หญิง

เมื่อถามย้ำว่าเมื่อ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้แล้ว คู่สมรสชาย-ชาย หญิง-หญิงสามารถทำอุ้มบุญได้แล้วหรือไม่ นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวว่า  ตามหลักการใน พ.ร.บ.ที่แก้ไขสามารถทำได้ แต่จะมีหลักเกณฑ์ เงื่อนไขพอสมควร เพราะมีหลายฝ่ายบอกว่า กรณีเป็นคู่สมรสชาย-ชาย หากอนาคตมีการเลิกรากันไปแล้ว ใครจะเป็นคนรับผิดชอบดูแลบุตร จึงยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณาอีกมากในส่วนของกฎหมายลูก เพียงแต่เมื่อมีความก้าวหน้าในเรื่อง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมก็ต้องเปิดช่องให้ดำเนินการเรื่องอุ้มบุญได้ แต่ในทางปฏิบัติต้องมีความละเอียดถี่ถ้วน ต้องรับฟังความคิดเห็นหลายด้าน

นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ข้อกำหนดที่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ผ่าน คือกรณีคนต่างชาติ ให้คู่สมรสที่เป็นต่างชาติ สามารถนำหญิงอุ้มบุญที่เป็นต่างชาติเช่นกันเข้ามาดำเนินการทำอุ้มบุญในประเทศไทยได้  จากเดิมที่กำหนดให้ต้องเป็นชาวต่างชาติที่แต่งงานกับคนไทย หรือคนไทยที่เป็นคู่สมรสต่างชาติเท่านั้นถึงจะทำได้ นับเป็นการเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาทำอุ้มบุญในไทยได้ รวมถึง กรณีจากเดิมไม่ให้มีการนำออกไปซึ่งเซลล์ อสุจิ ตัวอ่อน หรือไข่ แต่หลังมีการแก้ไขจะมีเกณฑ์พิจารณาให้คู่สมรสต่างชาติที่เข้ามาดำเนินการในประเทศไทย สามารถนำตัวอ่อนกลับไปประเทศของเขาได้ โดยจะมีคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ภายใต้ พ.ร.บ.อุ้มบุญจะต้องพิจารณาออกหลักเกณฑ์พิจารณา จากนั้นผู้ที่ประสงค์จะนำออกนอกประเทศจะต้องยื่นขออนุญาตการนำออก ซึ่งจะมีคณะกรรมการฯ พิจารณา

“กรณีมีข้อกังวลว่าจะทำให้เกิดโอกาสในการค้ามนุษย์หรือไม่นั้น หากไม่มีการดำเนินการตามที่ พ.ร.บ.มีการปรับปรุง เมื่อมีการทำใต้ดินก็จะไม่รู้เลยว่ามีใครนำออกไป แต่เมื่อมีการเปิดให้ยื่นเสนอพิจารณาขออนุญาตนำออกไป เมื่อมีการพิจารณาละเอียดถี่ถ้วน องค์ประกอบต่างๆ ในประเทศเขาจะรองรับได้หรือไม่ และเมื่อไปอยู่ในประเทศเขาแล้วสามารถติดตามได้หรือไม่ ก็จะทำให้มีระบบติดตามได้ดีกว่า เชื่อว่าถ้าอยู่ถูกต้องบนโต๊ะจะทำให้ลดปัญหาค้ามนุษย์ได้ดีกว่าการห้ามแล้วมีการลักลอบทำใต้ดินอยู่ดี” นพ.ภานุวัฒน์ กล่าว

เมื่อถามกรณีคนไทยที่จะให้ทำการอุ้มบุญ ยังต้องกำหนดให้คนที่จะมาอุ้มบุญแทนต้องเป็นญาติเท่านั้นหรือสามารถให้หญิงใดรับอุ้มบุญแทนก็ได้ เช่น ให้มีการจ้างอุ้มบุญ นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับเดิมห้ามไม่ให้มีการจ้าง ในกฎหมายฉบับใหม่ไม่ได้มีการแก้ไขในส่วนนี้ ยังกำหนดให้คนที่จะรับอุ้มบุญเป็นญาติ รวมถึง คู่สมรสต่างชาติด้วย หญิงที่นำมาอุ้มบุญก็จะต้องเป็นญาติและมีกระบวนการตรวจสอบ ยืนยันไม่ได้อนุญาตให้ทำในเชิงธุรกิจของการรับตั้งครรภ์แทน ยิ่งในประเทศไทยยิ่งห้ามไม่ให้มีการชักชวน เชิญชวนให้มีการมารับอุ้มบุญแทน ส่วนใหญ่หญิงที่มาตั้งครรภ์แทนจะต้องเป็นญาติ หรือคนที่เกี่ยวข้องที่ยินยอม

นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด มีการเพิ่มบทลงโทษในกรณีการกระทำความผิดที่ทำในเชิงการค้ามนุษย์หรือทำในเชิงธุรกิจการค้าที่ผิดกฎหมาย จะมีโทษที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่น  บางฐานความผิดที่กำหนดโทษจำคุก 1-2 ปี ก็จะเพิ่มโทษจำคุกและปรับเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งเมื่อความศักดิ์สิทธิ์และโทษของกฎหมายมากขึ้น จะทำให้คนไม่กล้าที่จะกระทำความผิด และถ้ามีการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักรในเรื่องนี้ ให้เสมือนว่าทำผิดในราชอาณาจักรด้วย

“ภาพรวมส่วนที่มีการปรับปรุงกฎหมาย คือ 1.เปลี่ยนจากนิยามคู่สามีภริยาเป็นคู่สมรสตาม พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม 2.ให้คู่สมรสที่เป็นชาวต่างชาติทั้งคู่สามารถเข้ามาทำอุ้มบุญในประเทศไทยและสามารถนำตัวอ่อน ไข่ อสุจิ กลับไปประเทศได้แต่จะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาอนุญาต และ 3.บทลงโทษที่รุนแรงขึ้นในกรณีคนที่ทำผิด” นพ.ภานุวัฒน์ กล่าว เมื่อถามถึงกรณีที่จะเปิดให้คนโสดมีบุตรด้วยการทำอุ้มบุญ นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวว่า กรณีหญิงตั้งครรภ์เองไม่ได้มีปัญหา แต่กรณีให้มีการตั้งครรภ์แทน ณ ปัจจุบันกฎหมายไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขไปถึงตรงนี้ แต่เริ่มมีการศึกษาและมีแนวโน้มว่าหญิงที่ไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากตั้งครรภ์เอง แทนที่จะไปเลี้ยงสัตว์เป็นเหมือนลูก ก็อยากได้บุตรที่เป็นทายาทหรือบุตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเขาแล้วมาดูแลตอนแก่.