กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงธุรกิจโทรศัพท์มือถือ หลังจากกรณีที่ สภาองค์กรของผู้บริโภค และเพจ “คุณลุงไอที” ได้โพสต์แจ้งเตือนผ่านเฟซบุ๊ก ว่าพบรายงานจากผู้ใช้หลายรายว่า พบแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน อาทิ แอปชื่อ ‘สินเชื่อความสุข’ หรือ ‘Fineasy’ ถูกติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ System App บนสมาร์ตโฟน ออปโป้  (OPPO) และ เรียลมี (Realme) 2 แบรนด์ชื่อดังจากจีน

โดย แอปดังกล่าว ไม่สามารถลบออกจากเครื่องได้ และยังสามารถส่งการแจ้งเตือนเชิญชวนให้กู้เงิน รวมถึงเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อและเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวกลายเป็น “หนังชีวิต” ที่เป็นที่ถกเถียงและหาทางออกระหว่างภาครัฐและเอกชนอยู่ในขณะนี้

วันนี้ทาง “เดลินิวส์” มีโอกาสได้พูดคุยกับ “จุลดิษฐ์ สันติธรณี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิโทโปลิส จำกัด บริษัทนักพัฒนาโมบายแอปพลิเคชัน ทั้ง iOS และ Android ที่มีประสบการณ์มากว่า 13 ปี ในวงการนี้ จะมาพูดถึงเหตุการณ์นี้กัน

จุลดิษฐ์ สันติธรณี

ผู้บริหารของ บริษัท ดิจิโทโปลิส จำกัด บอกว่า ตามปกติโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟนที่เราใช้ในกลุ่มของแอนดรอยด์ มีราคาขาย หลายเรต ตั้งแต่ราคารุ่นถูก และไฮเอนด์ราคาแพง แต่มือถือที่ราคาถูก ยิ่งขายยิ่งขาดทุน เพราะได้กำไรต่อเครื่องน้อย ทางแบรนด์มือถือ ทางผู้ผลิตก็เลยใช้ทางเลือก จับมือกับผู้ผลิตผลิตคอนเทนต์ หรือแอปพลิเคชัน เพื่อฝังแอป หรือเกมมาจากโรงงานผลิตเลย เพื่อให้ผู้ใช้งานไม่ต้องไปหาดาวน์โหลดเอง เป็นการเพิ่มฐานยอดดาวน์โหลดแอป โดยไม่ต้องทำการตลาด

“จุลดิษฐ์ สันติธรณี” บอกต่อว่า เรื่องการฝังแอปในมือถือจากโรงงาน ในส่วนของมือถือแอนดรอยด์ มีมานานแล้ว อย่างบางยี่ห้อ จะมีสโตร์ หรือร้านค้าของตนเองมีการพัฒนาแอป เช่น เกี่ยวกับสุขภาพ การออกกำลังกาย ซึ่งก็อาจมีการขอเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์เช่นกัน การมีสโตร์จะช่วยให้สามารถนำเสนอบริการต่างๆ ได้ แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครนําเสนออะไรที่หวือหวา ซึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นกับ OPPO และ Realme มันไม่ปกติ เพราะดันเป็นแอปสินเชื่อเงินกู้ และยังเป็นแอปสินเขื่อเถื่อนที่ไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วย จึงทําให้มีปัญหา เป็นเรื่องใหญ่เป็นข่าวดังขึ้นมา

นอกจากนี้ หากมองดูจริงๆ ในกูเกิลเพลย์สโตร์ จะพบแอปเงินกูเถื่อน และแอปเถื่อนอื่นๆ จำนวนมาก ขณะเดียวกันทางแอปโตร์ของแอปเปิล ก็มีหลุดลอดมาเช่นกันแต่ไม่มาก เมื่อตรวจพบก็รีบเอาออกสโตร์ มีการสกรีนที่เข้มงวดกว่า แต่ในขณะที่ กูเกิลเพลย์จะพบจำนวนมาก เพราะเป็นระบบเปิดที่ให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอปขึ้นไปให้ดาวน์โหลดได้ง่าย และต้องมีคนแจ้งหรือรายงานจึงนำแอปลง

“จุลดิษฐ์ สันติธรณี” ยังเล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา ในการพัฒนาแอปเกี่ยวกับการเงิน ที่ต้องได้รับอนุญาตจาก ธปท. ว่าการพัฒนาแอปเงินกู้ จะต้องมีการขออนุญาตจาก ธปท. และต้องส่งใบอนุญาตให้กับทางกูเกิล เพื่อตรวจสอบ จะมีกระบวนการที่ยาก และเมื่อมีใบอนุญาตแล้ว ทางกูเกิลจะมีการลิสต์เงื่อนไขกฎระเบียบ การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ อะไรที่ทำไม่ได้ เช่น การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลในโทรศัพท์ เรียกว่าต้องเข้าตามตรอก ออกตามประตู เมื่อมีกฎระเบียบที่เข้มงวด จึงทำให้มีคนลักไก่ ทำโดยไม่ผ่านกูเกิล ก็คือ การตกลงกับโรงงานนำแอปไปฝังไว้จากโรงงานเลย

“ผู้พัฒนาที่เข้าออกตามประตู ก็ต้องพัฒนาให้ได้ตามมาตรฐาน แต่พอมีกฎระเบียบที่ยาก ก็ต้องเลยใช้วีธีติดตั้งจากโรงงาน ซึ่งในเคสที่เป็นข่าว ที่มีการลงในโซเซียลและเว็บต่างๆ ที่มีการแกะข้อมูลพบว่าทั้งสองแอปมีการขอเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์เยอะมากเป็นลิสต์ ซึ่งในจีนก็มีแอปประเภทนี้จำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็เข้าถึงข้อมูลสมุดโทรศัพท์ เพื่อดูเครดิต มีคนโทรฯ เข้าออกมาหน้อยแค่ไหน มีจำนวนรายชื่อเยอะหรือไม่ ส่วนหนึ่งเพื่อใช้พิจารณาในการปล่อยสินเชื่อ และหากสมัครและให้สินเชื่อไปแล้ว หากไม่จ่ายคืน ก็จะตามจากรายชื่อในโทรศัพท์ ดังที่เคยเป็นข่าวว่าไม่รู้จัก แต่มีคนโทรฯ มาทวงหนี้ชื่อหนึ่ง ซึ่งพวกนี้จะดูข้อมูลจากรายชื่อในโทรศัพท์ คุณเป็นอะไรกับคนนี้ เขากู้เงินมาแล้วไม่ยอมจ่ายคืน ให้ตามให้หน่อย เป็นต้น”

“จุลดิษฐ์ สันติธรณี” ตั้งข้อสังเกตจากความคิดเห็นส่วนตัว ว่าปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ระบาดหนักในไทย อาจมีสาเหตุมาจากตรงนี้หรือไม่ ที่เมื่อแอปกู้เงินเถื่อนเล่านี้เข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์แล้วมีการนำข้อมูลไปขาย ซึ่งในจีนอาจมีแอปแบบนี้มาก แต่กรณีเมื่อเข้ามาในไทยนี้ เขาอาจจะไม่รู้หรือไม่ได้ศึกษาว่ามันต้องมีใบอนุญาตจากภาครัฐก่อนถึงจะทำธุรกิจสินเชื่อดิจิทัลได้ และแอปเงินกู้เถื่อนก็มีความเสี่ยงในเรื่องแหล่งเงินทุน อาจมาจากกลุ่มทุนจีนเทา หรือไม่”

สุดท้ายแล้ว ในเรื่องที่ตอนนี้การดาวนโหลดซอฟต์แวร์ลงเครื่องจากโรงงาน หรือการตรวจสอบในเรื่องนี้ ประเทศไทยยังมีช่องโหว่ ยังไม่มีหน่วยงานไหนที่ดูแลโดยตรง แล้วประเทศไทยควรจะมีเจ้าภาพเรื่องนี้ได้หรือยัง?

เรื่องนี้ “จุลดิษฐ์ สันติธรณี” บอกว่า ไทยควรจะมีหน่วยงานที่ดูแลตรงนี้ ก่อนจะวางขายอุปกรณ์ในประเทศไทย โดยหน่วยงานที่น่าจะเกี่ยวข้องก็คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แต่ตอนนี้ ถ้ายังไม่หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง แต่หากผิดกับกฎหมายของหน่วยงานใด ก็ควรออกแอ๊คขั่นเข้าไปดำเนินการ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับการไม่มีใบอนุญาต หรือทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการคุ้มครองผู้บริโภค

นอกจากนี้ รวมถึงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องดำเนินการ เช่น กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเรื่องนี้ยังไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร เมื่อเริ่มมีผู้เสียหายออกมาร้องเรียน และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มเข้ามาดำเนินการ แม้ว่าทางสองแบรนด์มือถือจะยอมถอดแอปออก ยกเลิกการดาวนโหลดแอปทั้งสองจากโรงงาน และงดจำหน่ายเครื่องที่มีสองแอปไปแล้ว

เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป!!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์